วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ลาบกุ้งฝอย วิธีทำง่ายมาก ปรุงเหมือนลาบอีสานทั่วไป

อาหารลูกทุ่งรสแซบถูกใจคนอีสาน ต้องยกให้ "ลาบ"

นอกจากลาบหมู วัว ไก่ ปลา ที่เป็นเมนูจานเด็ดถูกปากคนภาคอื่นด้วยแล้ว

ลาบกุ้งฝอย ก็นิยมกินกัน เพราะหาง่าย แค่วางไซดักไว้ตามท้องนาช่วงเย็นทิ้งไว้ รุ่งเช้ามาเก็บไซคืน ก็มีกุ้งฝอยติดเข้ามาแล้ว

เป็นอาหารตามธรรมชาติที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ

เชิด ขันตี ณ พล ข่าวสดมหาสารคาม ภูมิใจนำเสนอเมนูบ้านเกิด รสชาติแสนโอชะ


วิธีทำง่ายมาก ปรุงเหมือนลาบอีสานทั่วไป

เตรียมเครื่องปรุงและวัตถุดิบ กุ้งฝอย 1 ถ้วย พริกแห้งคั่วป่น ข้าวคั่ว ต้นหอม ยอดสะระแหน่ ลูกมะกอกสุก น้ำปลา

ล้างกุ้งฝอยหลายๆ ครั้งให้สะอาด นำพริกแห้งคั่วป่นและข้าวคั่วคลุกเคล้ากับกุ้งฝอย ชอบรสจัดก็ใส่พริกเยอะๆ

บีบเอาเนื้อมะกอกสุกลงไป ตามด้วยน้ำปลา

จากนั้นตั้งไฟให้กุ้งสุก ใส่ต้นหอม ยอดสะระแหน่ คลุกให้เข้ากันเป็นอันเสร็จ

ตักใส่จานเสิร์ฟพร้อมผักเครื่องเคียง เช่น ผักแพว ยอดกระถิน ต้นหอม ผักเม็ก ดอกข่า ฯลฯ

กินกับข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็ไม่ผิดกติกา
.....................
credit :  คอลัมน์ จานเด็ด77หวัด http://www.khaosod.co.th

บะหมี่เกี๊ยวน้ำ ร้านไร้ชื่อซอยหลังสวน

สถานการณ์น้ำท่วมเริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติบางแห่งเพิ่งเริ่มลด บางแห่งเพิ่งแห้ง บางแห่งยังท่วมขัง ไม่ว่าสถานการณ์ใดก็ตาม แม่พลอยขอเป็นแรงใจให้ผู้ประสบอุทกภัยทุกคนก้าวผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ในเร็ววัน

ไม่ว่าจะเจอวิกฤติใด หน้าที่พาไปชวนชิมอาหารในที่ต่าง ๆ ยังคงเดินหน้าต่อไปดังเดิม สัปดาห์นี้ แม่พลอยชวนไปชิมบะหมี่ หมูแดง เกี๊ยวหมู ลูกชิ้นปลา ที่ร้านบะหมี่ไร้ชื่อ ซอยหลังสวน หลังโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย

ร้านบะหมี่ไม่มีชื่อร้านนี้ ถามไถ่เจ้าของร้านอย่างคุณเล็กได้ความว่า ถ้าเป็นลูกค้าสมัยแรกเริ่มเปิดบริการ จะเรียกชื่อว่า ร้านบะหมี่พจมาน เพราะเจ้าของร้านอย่างคุณเล็กไว้ผมยาวผูกเปียสองข้าง ทรงผมยอดนิยม ทรงสุดเด่นของนางเอกละครดังในอดีตเรื่อง บ้านทรายทอง ต่อมาลูกค้ารุ่นใหม่พาเรียกชื่อร้านใหม่เป็น ร้านบะหมี่เกิร์ลลี่เบอร์รี่ เพราะเจ้าของร้านและครอบครัว เป็นแฟนคลับเกิร์ลลี่เบอร์รี่ตัวยงเลยทีเดียว สังเกตได้จากบรรยากาศในร้าน ที่มีรูปภาพสี่สาววงเกิร์ลลี่เบอร์รี่ติดแทบทุกมุม
   

ก่อนเข้าเรื่องเข้าสู่โหมด การเลือกเส้นบะหมี่ เส้นเล็ก เส้นใหญ่ มาจับคู่กับหมูแดง ลูกชิ้นปลา และ เกี๊ยวหมู แม่พลอย แจกแจงเรื่องบรรยากาศร้านนี้ว่า เป็นร้านบะหมี่แบบธรรมดา มีโต๊ะเก้าอี้นั่งแบบสบาย ๆ ในบริเวณบ้าน ไม่มีเน้นการตกแต่งสวยงาม แต่สะอาดสะอ้าน ดูแล้วสบายตา ลำดับการสั่งรายการบะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว ต้องเดินไปหยิบกระดาษมาเขียนรายการแล้วส่งไปที่มุมลวกก๋วยเตี๋ยว ทุกอย่างดูเป็นระบบ เพราะทีมงานบริการเป็นแบบระบบครอบครัว

ส่วนเรื่องเมนูบะหมี่ แม่พลอยว่า จะรู้สึกสนุกเพลิดเพลินมาก เวลาเราจับคู่เส้นบะหมี่กับลูกชิ้นปลา หมูแดง หรือ เกี๊ยวหมู ผัก ในแบบที่เราชอบ ส่วนเรื่องจะสั่งแบบพิเศษเส้น พิเศษเครื่อง พิเศษหมู พิเศษเกี๊ยว และพิเศษลูกชิ้น แล้วแต่จะเลือกสั่งกันเองในแบบที่ชอบและใช่
ที่ลองลิ้มรส ส่วนใหญ่เลือกเป็นบะหมี่ เริ่มจาก บะหมี่แห้ง ที่ใส่ทุกอย่าง ทั้ง หมูแดง ลูกชิ้นปลา เกี๊ยวหมู ถ้าไม่ชอบใส่ผักต้องระบุชัดเจน ถ้าต้องการใส่ผักก็ไม่ต้องระบุ ขอน้ำซุปมาซดต่างหาก ตัวบะหมี่ที่คุณเล็ก เจ้าของร้านบอกว่า สั่งจากเจ้าประจำจะมีความเด่นตรงที่เส้นเหนียว นุ่ม ไม่เละ เคี้ยวนวลในปาก หมูแดงชิ้นบางพอดี นุ่ม ลูกชิ้นปลาเหนียว หนึบ ไม่มีคาว

ถ้าชอบ บะหมี่หมูแดงล้วน จะเป็นแบบแห้งหรือบะหมี่หมูแดงล้วนแบบน้ำ รสชาติดีทั้งคู่ ส่วนใครชอบทานเกี๊ยวน้ำ คงจะถูกใจเพราะเกี๊ยวน้ำที่นี่นุ่มหอม แผ่นเกี๊ยวบางไส้ในเป็นหมูปรุงรสหมักเครื่องปรุงอย่างดี นุ่มลิ้นเคี้ยวเพลิน

ทานในโหมดเลือกเมนู ที่ชอบจนอิ่ม คุณเล็กบอกว่า เมนูยอดนิยมที่ลูกค้ามักติดใจ มักสั่งมาทานเสมอคือ เมนู บะหมี่เกี๊ยวน้ำแห้งทุกอย่าง แถมสั่งน้ำซุปมาซดไปพร้อมกับลูกชิ้นปลาลวก และน้ำจิ้ม

ถ้าอยากลิ้มรสบะหมี่เกี๊ยวน้ำ รสมือร้านไร้ชื่อ ที่ซอยหลังสวน ร้านนี้ เปิดบริการ 11.00–16.00 น. หยุดบริการทุกวันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2684-1011.
.................
credit : แม่พลอย : เรื่อง / สุพัตรา เมตะศิริ : ภาพ http://www.dailynews.co.th

"ขนมจีนน้ำพริก"ขึ้นชื่อ ห้องอาหารราชตฤณมัยฯ

คอลัมน์ อิ่มอร่อย



ภายในสนามม้านางเลิ้งมีห้องอาหารราชตฤณมัยสมาคมฯ นำเสนอต้นตำรับจานเด็ดชาววัง สรรค์สร้างความอร่อยมานานกว่า 30 ปี การันตีรสชาติดั้งเดิมโดย ม.ล.อุบล ดีสวัสดิ์ ดีกรีวิทยากรกิตติมศักดิ์ประจำศูนย์มติชนอคาเดมี และเพิ่มอรรถรสแบบจานต่อจาน โดย "เชฟเมย์"เมชวัชร์ อ้นสุ่ม ผู้เชี่ยวชาญอาหารไทยฟิวชั่น

ยังไม่รวมถึงพ่อครัวแม่ครัวรุ่นบุกเบิกกับประสบการณ์เสน่ห์ปลายจวักที่สั่งสมมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ร่วมส่งต่อความสุขของนิยามอาหารอร่อย

เริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อย "ไส้กรอกซุบริค" ไส้กรอกหมูเน้นๆ จากเนื้อสันในชั้นดี ผ่านกรรมวิธีในรูปแบบได้มาตรฐานต้นฉบับจากเยอรมนี รับประกันคุณภาพด้วยความเหนียวนุ่ม ไม่มีกลิ่นคาว ไร้สารกันบูด บวกกับรสชาติเข้มข้นกำลังดี และความกรุบกรอบของผิวด้านนอกที่ย่างไฟอ่อนๆ จนหอมกรุ่น

เสิร์ฟร้อนๆ คู่กับเครื่องเคียง ทั้งผักลวก และเฟรนช์ฟรายด์ ก่อนราดน้ำเกรวี่สูตรลับเฉพาะ เพื่อเพิ่มความอร่อยจนวางไม่ลง

จานต่อมา "เมี่ยงคะน้า" ของรองท้องสำหรับราชนิกุลในยุคเก่าก่อน ต้องใช้ฝีไม้ลายมือโชว์ประณีตของเครื่องเคียงและน้ำเมี่ยงรสกลมกล่อม จากส่วนผสมคัดพิเศษทั้งกุ้งแห้ง ขิง หอมแดง ที่นำมาโขลกจนเข้าเนื้อ แล้วจึงเคี่ยวต่อด้วยน้ำตาลปี๊บ ให้รสหวานนุ่มลิ้น ไม่แหลมจนแสบคอ

ตามด้วยจานหลักสไตล์เส้นขึ้นชื่อ "ขนมจีนน้ำพริก" กับรสชาติดั้งเดิมขนานแท้ที่หาชิมได้ยาก

เมื่อเครื่องน้ำพริกจัดจ้าน ผสมผสานรสหวานละมุนกำลังดีแบบชาววัง คลุกเคล้าเข้าที่ด้วยถั่วเขียวเลาะเปลือก และถั่วลิสง เคี่ยวด้วยไฟรุมๆ จนหอมกรุ่น ทานคู่กับเส้นขนมจีนหมักนุ่มๆ แนมด้วยผักสด ผักลวก และผักชุบแป้งทอด ครบเครื่องความอร่อย

มาถึงสารพัดแกงไทย น่าสนใจตั้งแต่เมนูแรก

"แกงส้มชะอมกุ้ง" แกงพื้นบ้านจานโปรดของใครหลายคน กับรสชาติพริกแกงส้มเข้มข้นถึงใจ ผสมผสานอย่างลงตัวด้วยน้ำมะขามเปียกรสเปรี้ยวนุ่มกำลังดี เสิร์ฟพร้อมกุ้งสดตัวโตๆ และไข่เจียวชะอมที่ทอดจนเหลืองกรอบ ยั่วยวนให้เกิดอาการน้ำลายสอขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์ ยิ่งตักราดบนข้าวหอมมะลิหุงร้อนๆ ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ติดใจในรสเด็ดแบบหวานซ่อนเปรี้ยวเฉพาะตัวจนลืมไม่ลงจริงๆ

อีกเมนูแนะนำขึ้นชื่อ คือ "ต้มยำกุ้งมะพร้าวอ่อน" ที่แค่ยกมาวางตรงหน้า ก็ถึงกับผงะด้วยกลิ่นหอมฉุยของสมุนไพรเครื่องต้มยำ ทั้ง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ปรุงร้อนๆ ในน้ำมะพร้าวอ่อนเพื่อให้ได้รสหวานละมุนตามธรรมชาติ แล้วจึงจัดแจงใส่เห็ด น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำพริกเผา ตามด้วยกุ้งก้ามกราม และเนื้อมะพร้าวอ่อน เพื่อเพิ่มสัมผัสกลมกล่อม ก่อนใส่นมสดเสริมรสนุ่มชุ่มลิ้นเป็นอันครบสูตร

นอกจากนี้ยังมี "แกงบวน" แกงต้มเครื่องในหมู กับเคล็ดลับดับคาวด้วยกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ จากตะไคร้ ข่า หัวหอม และกระเทียม รสชาติกลมกล่อมเฉพาะตัว จนลืมไม่ลงจริงๆ หรือจะเป็น "แกงขี้เหล็ก หมูย่าง" ถึงเครื่องแบบไม่ขมเลยสักนิด

ด้านจานแซบไม่หนักท้อง "พล่ากุ้งมะระสด" กุ้งตัวโตๆ เนื้อเด้งๆ คลุกเคล้าเข้ากับน้ำยำรสจัดจ้านถึงใจ ด้วยพริกขี้หนูสด ตะไคร้ซอย หอมแดง ใบมะกรูดซอย และมะระฝานบางๆ ให้อารมณ์เพลิดเพลินผ่านสัมผัสกรอบสดของกุ้ง และเนื้อมะระที่ชุ่มไปด้วยน้ำยำ 3 รส กำลังพอดี

กินคู่กับ "ข้าวผัดรถไฟ" โดย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา กรรมการอำนวยการ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ราช ตฤณมัยสมาคมฯ ออกปากการันตีเป็นอาหารจานเดียวจานเด็ดประจำร้าน เพราะได้ไอเดียจากข้าวผัดซอสแดง ซึ่งนิยมขายบนรถไฟ คลุกเคล้าเครื่องปรุงรส เนื้อหมู มะเขือเทศ และซอสเย็นตาโฟ กับข้าวหอมมะลิพันธุ์ดี จนเป็นข้าวผัดสีชมพูสวย เสิร์ฟพร้อมไข่ดาว พริกขี้หนู ต้นหอมสด และมะนาว

ก่อนปิดท้ายมื้ออร่อยด้วยเมนูพิเศษของร้านกาแฟสนามกอล์ฟราชตฤณมัยฯ ที่เชฟเมย์ ปรุงถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เป็นประจำ กับ "โรลมะพร้าวอ่อน และน้ำฝาน" พร้อมด้วยเค้กโรลเนื้อนุ่มเนียน หอมกลิ่นใบเตยอ่อนๆ สอดไส้ครีมมะพร้าวอ่อนรสหวานละมุน เข้าคู่กับน้ำฝานหยดมะนาว สีชมพูอมม่วงระเรื่อ ไล่เฉดสีสวย

ที่ร้านยังเปิดขยายความอร่อยแบบเกาะติดบรรยากาศ ขอบสนามม้าหญ้าเขียวขจี ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. พร้อมด้วยบริการบุฟเฟต์มื้อกลางวันแบบเต็มอิ่ม 250 บาท ต่อท่าน กับเมนูอาหารไทย-เทศ เลิศรสละลานตา ที่ห้องประดิพัทธภูบาล ชั้น 2 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-14.00 น.

ผู้ใดสนใจสำรองโต๊ะ หรือสำรองห้องจัดเลี้ยง พร้อมรับส่วนลดร่วมฉลองโอกาสทองของ "ราชตฤณมัยสมาคมฯ ก้าวสู่ปีที่ 96" ระหว่างธ.ค. 2554 ถึงม.ค. 2555 โทรศัพท์สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2280-1542 และ 0-2281-5390
...........................
credit : http://www.khaosod.co.th

ข้าวต้มปลาพานทองชลบุรี

อำเภอพานทอง ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติไทย

ย้อนกลับไปกว่า 200 ปี สมัยที่กรุงศรีอยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า พระเจ้าตากตีฝ่าวงล้อมข้าศึกออกมาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองโป่งตามุข กวาดต้อนผู้คนตามทาง มาปักหลักอยู่ที่นี่ เป็นเมืองควบคุมหัวเมืองทะเล มีเจ้าเมือง ศาล และเรือนจำ ตัวเมืองตั้งอยู่ในวัดโป่งตามุข ซึ่งเป็นพื้นที่ของตำบลหนองหงษ์ในปัจจุบัน ในตอนนั้นมีนายพรานชื่อ “ทอง” เป็นชาวอยุธยา หอบครอบครัวตามมาลงหลักปักฐานอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง แอบหาข่าวของข้าศึกมาถวายพระเจ้าตาก และรวบรวมกำลังร่วมรบจนชนะอยุธยาได้รับอิสรภาพอีกครั้ง หลังสิ้นศึกพรานทองกลับมาสร้างวัดห่างออกไปจากหมู่บ้านที่พัก ตั้งชื่อว่า “วัดพรานทอง” และย้ายครอบครัวมาอยู่ใกล้กับวัด ชาวบ้านจึงเรียกพื้นที่ส่วนนั้นว่า “บ้านพรานทอง” เวลาผ่านไป “ร” หล่นหายไปตามกาลเวลา เหลือแค่คำว่า “พานทอง” ไปโดยปริยาย


นอก จากที่นี่จะมีประวัติความเป็นมาที่แสนยาวนานแล้ว ยังมีร้านอาหารอร่อยซ่อนอยู่ภายในบ้านไม้หลังเล็กๆ เป็นร้านข้าวต้มทรงเครื่องไม่มีชื่อ แต่ ลูกค้าขาประจำเรียกกันจนติดปากว่า “ข้าวต้มปลาพานทอง” เปิดมา 40 กว่าปี ตั้งแต่สมัยเตี่ยของ “เฮียโรจน์” ทายาทรุ่นที่สองของครอบครัว

“ผมมารับช่วงต่อจากเตี่ยได้ 5 ปีหลังนี้เองครับ ก่อนหน้านี้ผมขายอยู่ที่กรุงเทพฯ เตี่ยขายอยู่ที่นี่ แล้วสุขภาพเตี่ยก็เริ่มไม่ค่อยดี อายุมากขึ้น ก็เริ่มทำไม่ไหว ตาก็มองไม่ค่อยเห็น ตอนแรกยังคิดว่าจะเลิกทำ แต่ผมก็เสียดาย และร้านที่กรุงเทพฯค่าเช่าที่ก็แพง ก็เลยตัดสินใจย้ายกลับมาที่บ้านดีกว่า ก็เลยมารับช่วงต่อจากเตี่ย กลับมาทำเอง สานต่อมาเรื่อยๆ” เฮียโรจน์ และเจ๊หน่อย สองสามีภรรยาผู้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับข้าวต้มทุกชาม


ร้าน นี้ไม่มีชื่อ ไม่มีป้าย ลูกค้าส่วนใหญ่เรียกกันเองว่า “ข้าวต้มปลาพาน-ทอง” ตามเมนูเด่นที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดขาหม่ำให้กลับมาซ้ำ จนกลายเป็นลูกค้าขาประจำ ในที่สุด (หุหุ)

ทุกวันหลังเลิกร้าน ประมาณตี 1–ตี 2 เฮียโรจน์จะขับรถไปซื้อปลา และของทะเลสดๆที่ตลาดใหม่ในตัวเมืองชลบุรี จ่าย ตลาดเอง ซื้อเอง เลือกเอง ทั้งปลา ปลาหมึก กุ้ง หอยแมลงภู่ ทั้งสด ถูก และดี ไม่มีหมกเม็ด

เฮียโรจน์ใช้ปลาโชกุนตัวโตน้ำหนัก 10 กิโลขึ้นไป ในแต่ละวันใช้ประมาณวันละ 30 กิโล ขายหมดทุกวัน รับประกันความสด ได้ปลามาแล้วต้องทำความสะอาด และหั่นเป็นชิ้นๆตามขวาง ลวกแล้ว เนื้อปลาจะไม่เละ ลวกสดๆทีละชามตามสั่ง เนื้อปลาว้าน... หวาน หนึ๊บ...หนึบ นุ้ม...นุ่ม เฮียโรจน์

มีเทคนิคการปรุงข้าวต้มเก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร (หรือเหมือนแต่เฮียไม่รู้...โฮะๆ) เริ่มต้นจากลวกเนื้อปลาใส่ชาม ใส่กระเทียม พริกไทยไว้ด้านล่าง แล้วตักข้าวเม็ดแน่นใส่ชาม ตามด้วยน้ำซุปรสกลมกล่อม จากนั้น ใช้ตะบวยควักเนื้อปลาที่ก้นชามขึ้นมาไว้ด้านบน “เหมือนตลบเอาเนื้อปลาขึ้นมา ที่อื่นเค้าก็ไม่ค่อยทำแบบผมนะ...ผมว่ามันจะแลดูดี น่าทานครับ”


ข้าว ต้มร้านนี้เม็ดแน่นดี ไม่มีเละ เฮียโรจน์ใช้ข้าวบัวใหญ่เป็นข้าวเม็ดแข็งหุงแบบเช็ดน้ำ ทำให้ควบคุมความสุกของเม็ดข้าวได้พอดี หุงแล้วลวกอีกทีไม่มีบาน ทานกับน้ำซุปรสชาติกลมกล่อมกลิ่นหอมโชยมาไกล

นอกจากปลาแล้วเฮียโรจน์ยังมีปลาหมึก กุ้ง และหอยแมลงภู่สดๆ ไว้คอยบริการ จะสั่งเป็น “ข้าวต้ม” มาซดกับน้ำซุปรสดีก็ได้ หรือสั่ง “ลวกจิ้ม” มาโซ้ยกับน้ำจิ้มรสจัดก็แจ่ม!!

ถ้าหม่ำข้าวต้มยังไม่หนำใจเฮียโรจน์มี “ผัดไทย” และ “หอยทอด” ไว้ให้เลือกโซ้ย โดยเฉพาะคนที่ชอบหอยแมลงภู่สดทอดกรอบๆ ไม่อมน้ำมัน รับประกันว่าโดน!

แถมท้ายอีกหนึ่งเมนูซดประชดน้ำท่วม “หัวปลาหม้อไฟ” เฮียโรจน์ใช้หัวปลาโชกุนตุ๋นกับน้ำซุป ปรุงรสด้วยข่า เกลือ ซอส ซีอิ๊วดำอีกเล็กน้อย ตุ๋นจนหัวปลาเริ่มเปื่อย แต่ ยังไม่ถึงกับเละมาก เหลือเนื้อปลาไว้ให้ขาหม่ำได้แทะๆ แกะๆพอสนุกปาก


ใคร ที่ต้องขับรถหนีเส้นทางน้ำท่วมโดยใช้เส้นพนัสนิคม แล้วอยากแวะหาของใส่ท้องในตอนเย็น พอออกจากมอเตอร์เวย์เลี้ยวซ้ายเข้าพนัสมาประมาณ 8 กิโล จะถึงสี่แยกพานทอง กลับรถที่สี่แยกขับย้อนลงมาประมาณ 200–300 เมตรจะเห็นร้านอยู่ทางซ้ายมือ ตรงข้ามกับศาลเจ้าขนาดใหญ่ ถ้ายังนึกไม่ออก โทร.ให้เฮียโรจน์บอกทาง เบอร์โทร. 08–1136–2935

ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 4 โมงเย็น ถึง ตี 1 เทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ เปิดตลอด หลังสงกรานต์อาจจะปิดพักผ่อนประมาณ 2 อาทิตย์ ถ้าไม่แน่ใจโทร.ถามได้เพื่อความชัวร์ ทางร้านรับออกงานนอกสถานที่ ปีใหม่ปีนี้บริษัท ห้างร้าน ที่สนใจให้เฮียโรจน์แอนด์เจ๊หน่อยยกหม้อไปเสิร์ฟให้ถึงบ้านโทร.ถามไถ่ราคา และจองคิวได้ ณ บัดนาว

เจ๊แซบแอบกระซิบ...ร้านนี้อาจจะไม่หรูหรา อลังการ แต่ความรักในสิ่งที่ทำ และความตั้งใจ (ยิ่ง) ใหญ่เกินร้านแน่นอนค้า!!!


เจ๊แซบ หัวเขียว
http://www.thairath.co.th/content/life/217745

โจ๊กเฮียรัตน์เจ้าเก่า 'ต้มเลือดหมู'ยอดฮิต

อิ่มอร่อย



โจ๊กเฮียรัตน์เจ้าเก่า 'ต้มเลือดหมู'ยอดฮิต

ในช่วงที่อากาศเริ่มเย็น บรรดานักท่องเที่ยวที่ "หนีน้ำ" ไปพึ่งเย็นเห็นจะมุ่งไปยังจังหวัดทางภาคเหนือ

โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ นครใหญ่ที่ไม่หลับใหลเหมือนกรุงเทพฯ แม้แต่ช่วงค่ำมืดยังหาของอร่อยๆ กินได้ถึงโต้รุ่ง

"โจ๊ก" เป็นอาหารที่เหมาะกับช่วงกลางคืนไปถึงเช้า เพราะไม่หนักท้องจนเกินไป

ที่หน้าโรงแรมเชียงอินน์ มีร้านโจ๊กเจ้าอร่อยชื่อ "โจ๊กเชียงอินน์" หรือ "โจ๊กเฮียรัตน์เจ้าเก่า" หรือบางคนเรียกว่า "โจ๊กไนท์บาซาร "

จะเรียกชื่อใดก็ได้ เพราะความอร่อยเหมือนกัน

ชามที่ลูกค้าสั่งกันมากเป็นพิเศษ ได้แก่ เกาเหลาเลือดหมู และโจ๊ก

เฮียรัตน์ หรือ นายรัตน์ ทวีผล อายุ 59 ปี เจ้าของร้านเล่าว่า บ้านเกิดอยู่จ.นครสวรรค์ มาตั้งหลักปักฐานอยู่จ.เชียงใหม่มานานแล้ว สร้างครอบครัวมีภรรยาคือ เจ๊น้อย นางพิณ ทวีผล อายุ 42 ปี ช่วยกันทำร้านครั้งแรกอยู่ที่ด้านหน้าโรงแรมเชียงอินน์ฝั่งทิศตะวันตกของถนนช้างคลานในย่านไนท์บาซาร  อ.เมือง จ.เชียงใหม่

แรกๆ เป็นลูกน้อง เขาก่อน ซึ่งร้านเดิมเปิดมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2512 จนปิดตัวไป จากนั้นจึงออกมาเปิดร้านของตนเองเมื่อปี 2520 อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนช้างคลาน โดยปักหลักเปิดที่ไนท์บาซาร เช่นเดิม แรกๆ มีลูกน้อง 3 คน จนวันนี้มีผู้ช่วยกว่า 10 คนเป็นญาติๆ กันทั้งนั้น

เฮียรัตน์กล่าวว่า ร้านเปิดไม่หยุดเลย ถึงตนเองจะหยุด ก็จะให้ญาติๆ หลานๆ ดูแลแทน

ปกติเริ่มทำงานก็ตื่นตั้งแต่เวลา 03.00 น. เปิดร้านให้ภรรยาและหลานๆ ดูแล จากนั้นตนเองก็ไปจ่ายตลาดเพื่อซื้อหมู ซื้อเครื่องในหมู หมูบด ตับ ไส้ ลิ้น ฯลฯ รวมทั้งผักต่างๆ พอกลับมาตั้งโต๊ะเสร็จพอดี การที่ต้องจ่ายตลาดทุกเช้าก็เพื่อจะได้ทุกอย่างสดๆ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประทานอาหารที่สดเสมอนั่นเอง

ร้านเปิดไปจนถึงเวลา 09.00 น. หรือถ าลูกค้ามากหน่อยก็จะขยายเวลาเลื่อนไปประมาณ 10.00 น. โดยดูแลร้านแบบครอบครัวจึงไม่ห่วงเรื่องเวลา

สำหรับชื่อร้าน "โจ๊กเฮียรัตน์เจ้าเก่า" ชื่อนี้ไม่ได้มาเพราะตั้งเอง แต่เป็นร้านเจ้าเก่าดั้งเดิมขึ้นชื่อมานานและเป็นที่รู้จักของชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวที่ตื่นเช้าแล้วชอบรับประทานโจ๊ก ข้าวต้ม ต้มเลือดหมู และเกาเหลาเลือดหมู

น้ำซุปของร้าน ลูกค้าจะประทับใจมาก เพราะทำเป็นซุปเข้มข้น หอมชวนรับประทาน

การทำน้ำซุปจะให้อร่อยได้ต้องต้มกระดูกสด ปรุงด้วยเครื่องเทศที่เตรียมไว้ มีรากผักชี สมุนไพรอื่นๆ ตามสูตร จะมีรสหอมด้วยกลิ่นพริกไทย

พริกไทยที่ว่านี้ต้องหาซื้อของแท้ เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รสชาติ ทำให้ข้าวต้ม โจ๊ก เกาเหลาพานไม่อร่อยไปด้วย

ส่วนเครื่องในหมูต่างๆ ต้องหั่นให้พอคำ ไม่หนาหรือบางเกินไป ลวกไม่ต้องให้สุกมาก เพราะหากสุกมากเครื่องในจะแข็งไม่อร่อย หากลวกแล้วนำมาวางไว้บนน้ำแข็งอีกทีเพื่อให้เครื่องในสดเสมอนั่นเอง พอมาลวกพร้อมเสิร์ฟก็จะได้เครื่องในที่อร่อยนุ่ม สุกและไม่แข็ง

สถานที่เปิดร้านย่านไนท์บาซาร ดังกล่าวนี้ไม่ได้สร้างปัญหาด้านการจราจรแต่อย่างใด ถึงจะเปิดร้านที่ริมฟุตปาธก็ตาม เพราะร้านค้าในย่านนี้จะเปิดในช่วงสายและเน้นขายสินค้าในช่วงค่ำ ไม่มีสถานศึกษาใกล้บริเวณ จึงมีที่จอดรถสะดวกสบาย

ปัญหาที่มีคือย่านนี้ติดลำน้ำปิง หากปีไหนฝนมาก น้ำท่วมแน่นอน หากน้ำท่วมก็จำเป็นต้องปิดกิจการในช่วงนั้น

สำหรับราคาโจ๊ก เฮียรัตน์กล่าวว่า ไม่แพงเพราะเข้าใจปัญหาช่วงเศรษฐกิจที่ตกต่ำมาโดยตลอด เริ่มต้นที่ชามละ 25 บาท ชามเดียวอิ่ม หากท่านใดหิวมากก็เพิ่มใส่ไข่ ราคา 30 บาท ส่วนพิเศษก็ 40 บาท

หากจะเพิ่มเครื่องในแบบพิเศษอีกก็ราคา 50 บาท ชามเดียวอิ่มนานไปเลย

หากมีโอกาสเดินทางมาเชียงใหม่ช่วงเช้าๆ ก็ลองแวะไปชิมดู หรือติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์โทร. 08-1882-4207 ติดต่อได้ทุกวัน
.........................
credit : http://www.khaosod.co.th/

ยอดเกี๊ยวของจีน ปักหลักให้ความอร่อยที่ กทม. เหลียว หนิง

น้ำท่วมครั้งนี้ ทำให้ผมเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง เหตุของความขัดแย้งของประเทศไทยนั้น มาจากผลประโยชน์และผลประโยชน์เท่านั้น การเล่นแง่เล่นมุมของพรรคการเมือง ทำให้รู้เช่นเห็นชาติ ของสองพรรคฯ ชั่งเลวร้ายมาก เอากรุงเทพเป็นตัวประกัน ทั้งๆ ที่เห็นอยู่แล้วว่า น้ำมาจากนครสวรรค์ สู่อยุธยาและบ่าลงกรุงเทพ ซึ่งเห็นก่อนตั้ง 2 เดือน แต่ไม่ทำอะไรเลย แล้วปล่อยให้เมืองกรุงจมน้ำต่อหน้าต่อตา...



วันนี้ผมได้มีโอกาสเข้าเมืองเพื่อหาของกินเสียหน่อย สำหรับคนกรุงที่ยังไม่จมน้ำคงยังใช้ชีวิตอย่างปรกติ มีการเตรียมตัวบ้่าง คิดแล้วปวดหัวผมว่ามากินกันดีกว่า ร้านนี้ผมเคยมากินตั้งแต่สมัยเกือบ 10 ปีที่แล้ว ร้านเกี๊ยว เหลียว หนิง คำว่าเหลียว หนิง เป็นชื่อมนฑลหนึ่งของจีน อยู่เหนือปักกิ่งหน่อย ร้านนี้จะมีรสชาติจืดเป็นหลัก แต่พอมาร้านในแถวสีลมนี้รสชาติมีการปรับปรุงให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น รสจัดขึ้น และมันน้อยลง (สมัยก่อนมันจัด จืดมาก) นับว่าเป็นอีกครั้งที่จะได้กลับมากินอีกครั้ง

มาสั่งกันเลยดีกว่า ร้านก็บอกว่าชื่อร้านเกี๊ยว ต้องสั่งเกี๊ยวอยู่แล้ว เกี๊ยวซ่า ซาน ซี จานนี้เป็นจากเด็ดของทืี่ร้าน เป็นแบบทอดคล้ายกับเกี๊ยวซ่า ส่วนน้ำจิ้มเขามีให้เราผสมเอง เครื่องปรุงที่จะมาทำน้ำจิ้มคือ พริกผัดน้ำมัน จิ๊กโฉ่ว ซีอิ๊ว ผสมกัน ส่วนผมชอบหวานนิดก็ขอน้ำตาลทรายเสียหน่อย เกี๊ยวน้ำหมู ฟังแล้วอย่าเพิ่งคิดว่าจะมีน้ำซุปมาน่ะครับ แต่จะมาเป็นแบบ เสี่ยว หลง เปา ครับ ระวังปากกระจายน้ำครับ อีกจานหนึ่งก็เกี๊ยวผักนึ่ง สำหรับเกี๊ยวอร่อยมากครับ ส่วนใครที่ชอบผัดเปรี้ยวหวานก็ให้สั่งกุ้งผัดเปรี้ยวหวาน เด็ดอีกจาน มาพวกเส้นหน่อยผมสั่งหมี่ผัดเซี่ยงไฮ้ รสชาติจัดจ้านมาก เหมาะสมกับมณฑลเซี่ยงไฮ้ ขอรับรองได้ว่าอยากกินเกี๊ยว ร้านนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน

ไปมาอย่างไร ผมว่าไม่ยากครับ ร้านนี้อยู่ในซอยข้างภัตตาคาร เชียง กา รี ล่า (สีลม) ตรงข้ามตึกสีลมคอมแพค โทรไปก่อนถ้าไปไม่ถูก 0-2635-6536
......................
http://www.thairath.co.th/content/life/216365

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กะพงทอดน้ำปลา วังกุ้งหลวงซีฟู้ด อ.แกลง

คอลัมน์ อิ่มอร่อย

ช่วง วันหยุดยาวปีใหม่ จังหวัดระยองคงเป็นจุดหมายของใครหลายๆ คน รวมถึงที่อ.แกลง ที่มีชายหาดสวยงาม และอนุสาวรีย์สุนทรภู่ กวีเอก ให้นึกถึงบทกลอน

ไปเที่ยวทะเลทั้งที ต้องกินอาหารทะเลกันหน่อย อย่างที่ร้านวังกุ้งหลวง ซีฟู้ด ศูนย์การเรียนรู้การเลี้ยงกุ้งและปลา

ปฤษ ชนก สุวรรณโชติ หรือ มะเหมี่ยว สาววัย 31 ปี เจ้าของร้านเป็นชาวแกลง เล่าว่า มีประสบการณ์การทำอาหารมาแต่วัยเยาว์จากมารดา และครอบครัวมีอาชีพเลี้ยงกุ้งและปลา มีความผูกพันกับอาชีพนี้โดยกำเนิด ช่วงหนึ่งหลังเรียนจบเปิดร้านอาหารในตัวเมืองระยอง และเมื่อหมดสัญญาเช่าร้าน จึงตัดสินใจย้ายกลับมาบ้านเดิม ที่อ.แกลง

สถานที่นี้เป็นของตนเอง จึงไม่ต้องเสียค่าเช่า ตัดสินใจเปิดร้าน

"วัง กุ้งหลวง ซีฟู้ด ศูนย์การเรียนรู้การเลี้ยงกุ้งและปลา" เปิดบริการมา 2 ปีแล้ว ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามามีทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ชื่นชอบกีฬาตกปลา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทางร้านมีให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษบุฟเฟต์กุ้งก้ามกราม ทุกๆ 3 เดือน ติดตามได้ทางเฟซบุ๊ก wangkungluang

สำหรับเมนูที่ลูกค้าชื่นชอบมา ต้องสั่ง "ปลากะพงทอดราดน้ำปลา" ที่ทางร้านคัดปลาสดไซซ์ใหญ่ ขอดเกล็ด ผ่าครึ่ง ล้างให้สะอาด จากนั้นลงทอดในน้ำมันเดือดจัดให้ท่วมตัวปลา พอเดือดหรี่ไฟลง ให้พอสุกเหลือง ตักออกรอสะเด็ดน้ำมัน ราดด้วยน้ำปลาปรุงรสราดบนตัวปลา

ทางร้านเสิร์ฟพร้อมกับ "ยำมะม่วง" ให้กินคู่กัน รสชาติลงตัวอย่างที่สุด

เมนู ต่อมา ไม่ควรพลาด "แกงส้มชะอมกุ้งสด" คัดกุ้งขาว ตัวใหญ่ปลอกเปลือกผ่าหลังล้างให้สะอาด เตรียมส่วนผสมพริกแกง ประกอบด้วย พริกขี้หนูแห้ง 10 เม็ด หัวหอม 5 หัว กระชาย 5 ราก กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ มะขามเปียก 1 ขีด โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้เข้ากัน ตั้งน้ำให้เดือด ใส่พริกแกงที่เสร็จแล้วลงไป จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำตาลปึก น้ำปลาตามด้วยกุ้งสดที่ผ่าหลัง ลงไปจนเดือดพล่านยกลง

ทีเด็ดคือผัก ชะอมตีผสมกับไข่ปรุงรสด้วยน้ำปลา ลงทอดแล้วยกขึ้นสะเด็ดน้ำมัน ก่อนหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ใส่ลงในน้ำแกง ยกเสิร์ฟ ร้อนๆ ทันที ซดแล้วเข้มข้นถึงใจ

ขณะที่เมนู กุ้งอบวุ้นเส้น กลมกล่อม ใช้กุ้งแชบ๊วยปลอกเปลือกผ่าหลังล้างให้สะอาดพักไว้ เตรียมวุ้นเส้นหนึ่งห่อ พริกไทยดำโขลกหยาบๆ รากผักชี 2-3 ราก กระเทียมทุบ ประมาณ 2-3 กลีบ หัวหอม แดงทุบ ผักขึ้นฉ่ายหั่นเป็นท่อนๆ สำหรับโรยหน้า มันหมูแข็ง (ไม่ให้วุ้นเส้นติดหม้อ) หรือเบคอนแทน น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ ซอสปรุงรส ซีอิ๊วดำ น้ำมันงา 1 ช้อนชา น้ำซุปต้มกระดูก

นอกจากนี้ยังมี ผัดฉ่าทะเลกระทะร้อน กุ้งสะดุ้งไฟ (กุ้งก้ามกรามเผา) กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด ที่แนะนำให้สั่งด้วย

วัง กุ้งหลวง ซีฟู้ด ตั้งอยู่เลขที่ 98/1 ม.5 ต.กร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง ใกล้กับอนุสาวรีย์สุนทรภู่ เพียง 3 กิโลเมตร โทร.08-9834-6898 เปิดทุกวัน 10.30-19.00 น. ถ้ามีจัดเลี้ยงจะขยายเวลาให้อีกหน่อย ช่วงหยุดปีใหม่นี้ ทางร้านเปิดบริการตลอด ขอเชิญแวะเวียนไปชิมได้
...............................................
ค ลิ ก ช ม ภ า พ แ ล ะ อ่ า น ต่ อ....

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

'ซุปแครอทใส่ขิง' สกิล สโมก พอร์ค ชอพ

หลายเดือนมาแล้วผมอยากจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารของร้านนี้ ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลียน ชื่อว่าร้าน ลา สกาล่า ตั้งอยู่ที่โรงแรมสุโขทัย ถนนสาทรครับ ร้านนี้เป็นร้านที่มีครัวเปิดที่สวยงามมาก มีอาหารที่อร่อยเหลือเกิน โดยพี่ชายของผมเป็นคนพาผมไปรับประทานอาหารที่ร้านนี้เองครับ


ครั้งแรกที่ผมไปนั่งทานอาหารที่นั่น มี อาหารเรียกน้ำย่อย มากินเล่นคล้ายเอแคลร์ แต่รสชาติค่อนข้างเค็ม มีไส้นิดหน่อย ใส่กระดานไม้เอามาให้ทาน ถ้าได้กินกับไวน์ยิ่งอร่อยใหญ่เลยครับ

    ความจริงแล้ว ผมเคยมาทานอาหารที่ร้านนี้ 2-3 ครั้งแล้ว ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นวันเกิดของผม และก่อนที่ผมจะไปอเมริกาก็ได้ไปทานเลี้ยงกันที่นี่ ร้านบรรยากาศดีมากครับ มีมุมที่ปลายของห้อง ซึ่งมองออกไปเห็นสระว่ายน้ำและครัวซึ่งอยู่ตรงกลางของห้อง และก็ไม่มีที่ว่างมากมายเท่าไหร่นัก แต่ทุกคนเป็นมืออาชีพจริง ๆ ครับ โดยเฉพาะหัวหน้าเชฟ ซึ่งท่านได้ฝึกฝนจากเจ้าของที่เป็นเชฟของร้านนี้มาและฝีมือของเขาก็ดีจริง ๆ ครับ

มาที่นี่แล้วไม่ได้กิน พิซซ่าพิเศษ ของเขา ไม่ได้เลยนะครับ แป้งเขาบางมากเลย เขาจะเอาแป้งมาผ่าครึ่งใส่มาสคาโพนชีส ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ ครีมชีสนะครับ (โดยครีมชีสจะมีไขมันสูงหน่อย ฉะนั้นไม่ต้องใส่เยอะ) แล้วใส่พาร์ม่าแฮมเข้าไป ตามด้วยใบร็อกเก็ตแล้วก็ปิดครอบฝา เสิร์ฟให้เรากินกัน
   


ผมอยากกินพิซซ่าอย่างเดียวเลย แต่เขาให้กินเล่นเฉย ๆ เพื่อเรียกน้ำย่อย หลังจากนั้น มีสลัดให้กินคือ สลัดผักราดิกซีโอ้ เป็นผักขมมาจากอิตาลีครับ รวมทั้ง ผักเฟนเนล ส้ม ถั่วพิทาชิโอ กุ้งลวก ผสมมากับน้ำสลัดแล้วเสิร์ฟ รสชาติอร่อยมากเลยครับ ส่วนพี่ชายของผม กินซุปใส เขาใส่ในกามาแล้ว เอารินเสิร์ฟให้เราทานตรงนั้นเลยครับ ผมลองชิมดูอร่อยดีครับ

    สำหรับอาหารจานหลัก ผมเลือกเส้นเป็น พาสต้าผัดกับรากูเนื้อ ซึ่งคำว่า รากู เป็นภาษาอิตาเลียน ก็คล้าย ๆ กับสตูแต่ว่าเป็นสตูเนื้อครับ ผมกินเข้าไปแล้วอร่อยมาก จากนั้น พี่ชายผมก็สั่ง หมูหัน และ ขาหมูหัน แบบอิตาเลียนมากิน อร่อยดีครับ

ส่วนของหวานนั้น เรากิน ทีรามิสุ กัน ซึ่งทีรามิสุของที่นี่เขาไม่เหมือนที่อื่นนะครับ ความจริงแล้วทีรามิสุเป็นของหวานของคนอิตาเลียน โดยทีรามิสุของที่นี่ ซึ่งเขาทำเองเดี๋ยวนั้นเลยนะครับ ขนมปังจะเบามากแต่ว่าใส่เหล้ามากไปนิดหนึ่งครับ แต่รสชาติโดยรวมก็ยังอร่อยอยู่

จากนั้น ก่อนที่จะกลับบ้าน เพราะกินของหวานเข้าไป เริ่มง่วง ผมเริ่มอายุมากแล้ว กินเยอะไม่ได้ครับ เขาก็มีของแจกให้ด้วยเพราะเขาจะเอากาแฟมาให้ แล้วเอาขนมในกล่องกินกับกาแฟครับ ซึ่งมีช็อกโกแลตใส่กล่องมาให้ โดยเราจะเอาใส่กล่องกลับบ้านไปกินก็ได้นะครับ เพราะว่าขนมจะอยู่ในกล่องอยู่แล้วหรือจะกินตรงนั้นก็ได้ เมื่อเอามาให้ ผมเอากลับใส่กล่องมาให้ลูกหลานที่บ้านกิน เพราะผมเป็นเบาหวานครับ กินของหวาน ๆ มากไม่ดี
   

ส่วนครั้งที่สอง ที่ได้มีโอกาสไปกินนั้น ผมประทับใจเหลือเกิน โดยครั้งนั้นพี่ชายของผมกับคุณอา พาผมไปเลี้ยงข้าวที่ร้านนี้ เนื่องในวันเกิดผม ซึ่งเขาทำเมนูพิเศษให้เรากิน มี ซุปแครอทใส่ขิง เป็นซุปข้น ๆ นิด ๆ แต่อร่อยครับ มี สลัดร็อกเก็ตใส่ชีส มาให้เรากิน เป็นจานเล็ก ๆ ครับ ไม่ใหญ่มาก

    ความจริงแล้วมีอาหารเรียกน้ำย่อยมาให้เรากินด้วยนะครับ ไปครั้งนั้นผมยังขอกินพิซซ่าอีก แต่เป็นชิ้นเล็ก ๆ อร่อยดีครับ หลังจากนั้นเขาก็จัดอาหารมาให้ ผมไม่ทราบว่าที่ร้านรู้ได้อย่างไรว่าผมชอบกินเนื้อ เพราะอาหารจานต่อมาเป็น ซี่โครงเนื้ออบกับซอสมะเขือเทศแดดเดียวและเห็ดป่า ซึ่งเขาจะผสมกันแล้วเสิร์ฟกับแป้งข้าวโพดที่เรียกว่าโพลินต้า และซอสเนื้อ ตอนที่เขาเอามาเสิร์ฟหอมมากเลยครับ เมื่อกินเข้าไปแล้วก็อร่อยเหลือเกินครับ

จากนั้น ก็มี ตับห่านทอดกับหอยเชลล์ มาให้เรากินด้วย ซึ่งหอยเชลล์นี้มาจากฮอกไกโดเลยนะครับ โดยเอาไปนาบกับกระทะและก็เอาไปผัด และก็เอาตับห่านไปทอดแล้วเอาไปวางไว้ข้างบนของหอยเชลล์ฮอกไกโด ที่จานมีผักวางอยู่ด้านล่าง แล้วเสิร์ฟ มีซอสนิดหน่อยครับ แต่ต้องบอกว่า อาหารจานนี้คอเลสเตอรอลสูงมากเลย แต่ผมก็กินครับ เพราะวันนั้นเป็นวันเกิดของผม พี่สั่งมาให้ผมกินทั้งที รสชาติอร่อยดีครับ



จานต่อมาเป็น แกะอบซอสเห็ดลูกเกดและมันบด ซึ่งแกะของเขา เป็นแกะที่อยู่ในถุงสุญญากาศ แล้วเอาออกมา นำไปต้มให้ยังมีสีแดง ๆ อยู่ตรงกลาง เสร็จแล้วเอามาอบในเตาอบที่ร้อนมากจนกระทั่งหนังข้างนอกเหลืองและกรอบ ส่วนข้างในยังมีความชุ่มชื้นอยู่ โดยจะเสิร์ฟกับซอสเห็ด มีลูกเกดและมันบด ซึ่งมันบดของเขานั้นจะทำเหมือนครีมซอสข้นมากครับ



เมนูสุดท้าย เป็นอย่างอื่นไม่ได้นะครับ ต้องเป็นเนื้อ โดยเขาจะเอา เนื้อวากิวย่าง มีหอมแดงตุ๋น เสิร์ฟกับซอสไวน์แดง อร่อยเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของหวานคราวนี้ ซึ่งเป็นวันเกิดของผม ผมไม่ได้กินของหวานแต่เชฟได้จัดเค้กให้ผมทาน ความจริงแล้วผมกินมากไม่ได้นะครับ เพราะผมเป็นเบาหวาน แต่วันนั้นผมกินทุกอย่างที่ขวางหน้าเพราะเป็นวันเกิดของผม และวันรุ่งขึ้นผมก็ต้องเดินทางไปเมืองนอก เพื่อไปสอนหนังสือ

เชฟที่ผมพูดถึงเป็นเชฟคนไทย เป็นคนที่เก่ง ผมขอชื่นชมเชฟไทยคนนี้เพราะทำอาหารอิตาเลียนได้เก่งมาก แต่ผมอยากเห็นเชฟไทยทำอาหารไทยและรู้เรื่องอาหารไทย และเผยแพร่อาหารไทยที่แท้จริงไปให้โลกภายนอกได้รู้ครับ.



เข้าครัวกับหมึกแดง : สกิล สโมก พอร์ค ชอพ

เครื่องปรุง

- พอร์ค ชอพ 300 กรัม

- เกลือ 1 ช้อนชา

- พริกไทย 1 ช้อนชา

- แยมผิวส้ม 1 ช้อนโต๊ะ

- กลิ่นสโมก 1 ช้อนชา

- นํ้าส้มสายชูทำจากแอปเปิ้ล 2 ช้อนชา

- นํ้ามันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

- ซาวเคร้าท์ 100 กรัม

- มันบดสำเร็จรูป 100 กรัม

- ถั่วแขกลวก 50 กรัม

- ซอสแอปเปิ้ลนํ้าตาลทรายแดง พอประมาณ

วิธีทำ

1. ในชามผสม ใส่พอร์ค ชอพ เกลือ พริกไทย แยมผิวส้ม และน้ำส้มสายชูทำจากแอปเปิ้ล กลิ่นสโมกและนํ้ามันพืชลงไปผสมให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที

2. ตั้งกระทะเปิดไฟให้ร้อน นำพอร์ค ชอพที่หมักไว้ลงไปย่างให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน

3. ในจานเสิร์ฟ วางซาวเคร้าท์ มันบดสำเร็จรูป และถั่วแขกลวกลงในจาน แล้ววางพอร์ค ชอพย่างทับลงไป

4. ราดหน้าด้วยซอสแอปเปิ้ลน้ำตาลทรายแดง เสิร์ฟทันที

เครื่องปรุงซอสแอปเปิ้ลนํ้าตาลทรายแดง

- เนยจืด 2 ช้อนโต๊ะ

- หอมแดงสับ 1 ช้อนโต๊ะ

- นํ้าตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ

- แอปเปิ้ลเขียวซอยบาง 100 กรัม

- นํ้าส้มสายชูทำจากแอปเปิ้ล 1 ช้อนโต๊ะ

- นํ้าซุปหมู 1/4 ถ้วยตวง

- เกลือ 1 ช้อนชา

- พริกไทย 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. นำกระทะตั้งเตาให้ร้อน

2. ใส่เนยลงไปพอร้อน ใส่หอมแดงสับ ผัดให้หอม ใส่แอปเปิ้ลเขียวซอยบางลงไปผัดพอเหลือง จึงใส่น้ำตาลทรายแดง ผัดให้เข้ากัน

3. ใส่น้ำส้มสายชูทำจากแอปเปิ้ล เพื่อการล้างคราบให้ออกจากก้นกระทะ

4. เติมนํ้าซุปหมูลงไปคนให้เข้ากัน

5. ปรุงรสด้วย เกลือ พริกไทย ชิมรสชาติให้ออกเปรี้ยว เค็ม หวาน

6. นำซอสที่ได้ไปราดบนพอร์คชอพ

................................................

ชิมให้เป็น : วิธีการชิมเนื้อวัว

โดยมากแล้วคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณจะกินเนื้อที่สุกจนเกินไป เนื้อที่สุกจนเกินไป ถ้าคุณภาพของเนื้อดี ความชุ่มชื้น ความหวานของเลือดจะหายไปหมดครับ

ที่นี่ใช้เนื้อวากิว หอมแดงตุ๋น ซอสไวน์แดง ซึ่งเขาทำได้ดีมากเลยครับ เพราะเขาเอาเนื้อทั้งชิ้นไปย่าง โดยไม่ต้องหมัก ไม่ต้องทำอะไรเลยนะครับ ความจริงแล้วไม่ต้องใส่เกลือก็ได้ แต่ถ้าผมทำ ต้องใส่เกลือไปนิดหน่อยนะครับ แล้วก็เอาไปนาบ เอาไปย่างกับกระทะแต่ต้องใช้ไฟร้อนมาก ๆ เลยนะครับ เพราะความร้อนจะได้ปิดรูขุมขนของชิ้นเนื้อ ความชื้นจะได้ไม่ไหลออกมา เพราะฉะนั้นจะใช้ไฟอ่อน ๆ ไม่ได้เลยนะครับ เนื่องจากเราอยากให้ข้างในเป็นสีชมพู ไม่ใช่สีแดง

เมื่อเสร็จแล้ว ไม่ใช่เอามาหั่นเลยนะครับ ต้องทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีเสียก่อน แล้วแต่ความหนาของเนื้อ เพื่อให้เลือดและความร้อนระอุทำให้น้ำที่อยู่ข้างในของเนื้อได้วิ่งไปวิ่งมาพอมันหยุดวิ่งไปวิ่งมาแล้ว จึงค่อยสไลซ์ชิ้นเนื้อก็จะไม่มีน้ำไหลออกมาให้เลอะ ถ้าเรารีบสไลซ์ ความชุ่มชื้นก็จะไหลออกมา เพราะเราหั่นเร็วไปอย่างไรครับ ฉะนั้นต้องชิมให้เป็นและรู้จักวิธีการทำด้วยนะครับ

หมึกแดง

www.mcdangguide.com

กินง่ายๆได้สุขภาพกับสูตร 5 ส่วนใน 1 วัน

คุณรับประทานผักและผลไม้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้วหรือยัง? ด้วยเหตุนี้ กูร์เมต์ มาร์เก็ต และ โฮม เฟรช มาร์ท ขอเชิญชวนทุกคนเสริมสร้างสุขภาพที่ดีง่าย ๆ ในโครงการ “เมค ยัวร์ เดย์ วิธ ไฟว์ อะ เดย์ ปีที่ 2” ซึ่งได้เปิดตัวสานต่อโครงการดี ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ เค วิลเลจ สุขุมวิท 26

โดยชัยรัตน์ เพชรดากูล ผจก.บริหารสินค้า เฟรช มาร์เก็ต บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป เผยว่า เห็นความสำคัญของการบริโภคผักและผลไม้ เพราะผักและผลไม้ชนิดต่าง ๆ มีทั้งวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อระบบการทำงานในร่างกาย และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น
   

การดูแลสุขภาพสามารถเริ่มต้นง่าย ๆ จากการกินผักและผลไม้วันละ 5 ส่วน โอภาส ล้วนประจักษ์แจ้ง นักโภชนาการ รพ.กรุงเทพ ให้ความรู้ว่า 1 ส่วนเท่ากับ 80 กรัม หรือ 1 กำมือ ซึ่งไม่น้อยกว่า 400 กรัมต่อวัน หรือควรกินผักและผลไม้ให้ครบ 5 อย่าง เพื่อให้ร่างกายได้รับสารจากผักผลไม้ที่หลากหลาย อาทิ สูตร ไฟว์ ฟอร์ เอ็นเนอร์จี บูสเตอร์ คือ การกิน เพื่อให้ได้พลังงานและเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย กินแก้วมังกรหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง อาทิ ส้ม ฝรั่ง และกีวี ส่วน สูตร ไฟว์ ฟอร์ แฟต เบิร์นนิ่ง กินเพื่อให้ได้หุ่นสวย ผิวพรรณสดใส เช่น ผักและผลไม้ที่มีเส้นใย ผักกาด ผักคะน้า ผักกะหล่ำ ต้นหอม ยอดกระถิน ผักบุ้ง ชะอม ดอกและใบขี้เหล็ก หน่อไม้ ใบตำลึง มะม่วง สับปะรด และ สูตร ไฟว์ ฟอร์ ซูเปอร์-เบรน คือ กินเพื่อบำรุงสมองให้ความจำดีและเรียนรู้ไว ซึ่งมีในผักและผลไม้ที่มีโฟแลตสูง เช่น คะน้า ตำลึง ขณะเดียวกันการกินผักและผลไม้ 5 ส่วนยังหมายถึง การกินส่วนต่าง ๆ ของผักและผลไม้ ได้แก่ ใบ ดอก ราก หน่อ และผล หรือกินที่หลากหลายสีสันและรสชาติ

นอกจากนี้ภายในงานยังมีการสาธิตการปรุงเมนูเพื่อสุขภาพจาก เชฟฟาง-ณัฐพงศ์ หน่อชูเวช เชฟหนุ่มจากรายการครัวอินดี้ ร่วมกับสองแม่ลูกที่ใส่ใจสุขภาพ คุณแม่ลอร่า-ศศิธร วัฒนกุล และน้องโมนิก้า ปรุงเมนูพิเศษ “สลัดผักผลไม้ 5 สี” เชฟฟาง-ณัฐพงศ์ แนะนำความพิเศษในการทำสลัดว่า เน้นการปรุงน้ำสลัดที่มีส่วนผสม ได้แก่ น้ำผึ้ง น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ กระเทียม เกลือ พริกไทย และน้ำมันมะกอก โดยการนำส่วนผสมทั้งหมดมาตีให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนเครื่องสลัดประกอบด้วยผักสลัดใบเขียว ช่วยเรื่องการขับถ่ายที่ดี แครอทให้สารเบต้าแคโรทีน ส้มซันสวีทเพิ่มวิตามินซี มะเขือเทศช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ ทับทิมช่วยต้านอนุมูลอิสระ และธัญพืชอบแห้งช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกาย ซึ่งรับรองว่าคุณค่าทางโภชนาการที่ได้รับจากสลัดจานนี้ครบตามหลักเมค ยัวร์ เดย์ วิธ ไฟว์ อะ เดย์ แน่นอน.


กินง่ายๆได้สุขภาพกับสูตร 5 ส่วนใน 1 วัน
c r e di t :http://www.dailynews.co.th

วิธีลวกปลาหมึกให้กรอบ-ไม่เหม็นคาว

    เผยเคล็ดลับเด็ดขจัดกลิ่นคาวด้วย “มะนาว” แถมได้ปลาหมึกตัวขาว หวานกรอบเด้งนุ่มลิ้น

“ปลาหมึก” อาหารทะเลเนื้อนุ่ม มักถูกใช้เป็นพระเอกในเมนูเลิศรสหลายแบบ ทั้งต้ม ผัด ทอด นึ่ง ซึ่งเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ความสด โดยก่อนซื้อสังเกตจากผิวต้องใสแวว และเนื้อแน่น ส่วนกลิ่นคาวสามารถลดได้ เพียงบีบมะนาวเล็กน้อยลงน้ำที่ใช้ล้าง ทั้งยังได้ปลาหมึกตัวขาวขึ้นด้วย

จากนั้น หั่นเป็นชิ้น นำไปลวกในน้ำเดือดจัด (อย่าคนในทันที เพราะอาจทำให้คาวได้) ระวังอย่าทิ้งให้สุกนานเกินไป ปลาหมึกจะเหนียวทานไม่อร่อย ลวกเสร็จแล้วใช้กระชอนช้อนให้สะเด็ดน้ำก่อนนำไปปรุงรส

ทั้งนี้ เนื้อปลาหมึกลวกที่เหลือจากขั้นตอนก่อนปรุง สามารถเก็บไว้ทำเมนูอื่นในมื้อต่อไปได้ เพียงบรรจุใส่ภาชนะแล้วนำไปแช่ในช่องแช่แข็ง วิธีนี้ จะช่วยคงสภาพเหมือนปลาหมึกสดใหม่ เนื้อไม่ยุ่ย กลิ่นดี และไม่เสียรสชาติ ทั้งยังนำมาประกอบอาหารได้รวดเร็วทันใจ.

    วิธีลวกปลาหมึกให้กรอบ-ไม่เหม็นคาว
▼▲ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

“น้ำพริก” ฝ่าวิกฤติ! ภูมิปัญญาทางเลือกยุคของแพง

เนื้อหมูและราคาสินค้าบริโภคที่พุ่งสูงบ่งบอกถึงวัฒนธรรมการบริโภคของคนไทยอย่างชัดเจน แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เพราะเมื่อหันไปสำรวจตลาดพบว่าร้านขายน้ำพริกสดมีเพิ่มมากขึ้นในกรุงเทพฯ แม้ว่าราคาข้าวของจะพุ่งสูงแค่ไหน แต่ราคาน้ำพริกยังไม่ขยับตัวสูงขึ้นมากนัก ซึ่งในวิกฤติข้าวยากหมากแพง “น้ำพริก” ถือเป็นภูมิปัญญาตกทอดให้ลูกหลานได้รู้ซึ้งถึงคุณค่า และคุณประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า สำหรับในกรุงเทพฯ การเพิ่มขึ้นของร้านน้ำพริกสดมีมากอย่างเห็นได้ชัด เป็นผลมาจากการที่คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่เข้ามาทำงานมากขึ้น แต่ในทางกลับกันต่างจังหวัดหลายคนกลับบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นกว่าการทานน้ำพริกเหมือนแต่ก่อน ซึ่งในภาวะวิกฤติที่ข้าวของแพง น้ำพริกเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างมาให้คนรุ่นหลังได้นำไปใช้ได้อย่างดี อดีตน้ำพริกถือเป็นอาหารยามยาก หมายความถึง เป็นอาหารที่สามารถเก็บไว้ได้นานหรือพกไปขณะเดินทางไกลได้อย่างสะดวกนั่น

น้ำพริกสูตรแรก คือ พริกกะเกลือ โดยนำพริกป่นและเกลือผสมกันคลุกด้วยมะพร้าวขูดคั่ว สามารถพกไปกินได้ระหว่างเดินทางไกล เครื่องเคียงต่างๆ สามารถเด็ดผักได้ตามทางหรือหาปลาตามคลองหนองบึง และด้วยความที่หลายคนหันมารักษาสุขภาพมากขึ้นจึงทำให้น้ำพริกได้รับความนิยม โดยผู้บริโภคเริ่มนิยมร้านน้ำพริกที่ทำสดมากกว่าน้ำพริกที่บรรจุอยู่ในกระปุกหรือกล่อง

น้ำพริกสดที่ขายตามท้องตลาดขายอยู่ที่ราคา 20 – 30 บาทต่อถุง ถ้ามอง 5 ปีย้อนหลังคนขายยังคงราคาเดิมไว้แม้สินค้าอื่นๆ จะราคาสูงขึ้น ด้วยความที่น้ำพริกใช้เนื้อสัตว์น้อยจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ถ้ามองในราคาต้นทุนแล้วน้ำพริกหนึ่งครกจะตกอยู่ที่ราคา 5 – 7 บาท โดยราคาเครื่องเคียงเช่นผักหรือปลาทูและปลาย่างอาจผันผวนตามราคาตลาดในแต่ละช่วงบ้าง

สำหรับการทำน้ำพริกที่ผสมเนื้อสัตว์ในภาวะวิกฤติราคาแพงสามารถนำวัตถุดิบอื่นมาผสมแทนได้เช่น ถั่วประเภทต่างๆ ฟักทอง มัน ใบชะคราม เห็ด ข้าวกล้อง ข้าวสังข์หยด และโปรตีนเกษตร คุณค่าอาจแทนเนื้อหมูไม่ได้ แต่ในการกินผสมกับน้ำพริกให้ความรู้สึกไม่ต่างกันขึ้นอยู่กับวิธีทำ

อย่างน้ำพริกอ่องที่ต้องใช้เนื้อหมูมาก สามารถนำโปรตีนเกษตรมาทำแทนเนื้อหมูได้ โดยต้องหั่นโปรตีนเกษตรให้เป็นชิ้นเล็กเหมือนลูกเต๋าแล้วแช่น้ำไว้ 20 นาที ซึ่งพอนำขึ้นจากน้ำโปรตีนเกษตรจะหนืดๆ เหมือนเนื้อหมูและนำไปทำเป็นน้ำพริกอ่องได้ตามปกติ เช่นเดียวกับเต้าหู้แผ่นถ้าจะเอามาทำต้องหั่นเป็นชั้นเล็กๆ นำไปทอดแล้วนำมาปรุงเป็นน้ำพริกอ่อง

ขณะเดียวกันเครื่องเคียงอย่างผักต่างๆ ไม่ควรบริโภคผักที่เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่ควรเน้นบริโภคผักริมรั้วและผักที่ออกตามฤดูกาล ซึ่งการปลูกผักริมรั้วคนที่มีเนื้อที่น้อยสามารถปลูกได้อย่างคนที่มีห้องพักอยู่ในคอนโดสามารถปลูกในกระถางริมระเบียงได้อย่าง ดอกโสน ดอกแค ดอกขจร ต้นกระถิน โดยการปลูกต้องหมั่นเด็ดยอดเพื่อให้แตกยอดใหม่และลำต้นไม่สูงมาก ส่วนผักบุ้งสามารถปลูกในอ่างน้ำเล็กๆ ได้ถ้ามีพื้นที่เพียงพอ

“การเลือกซื้ออาหารที่ออกตามฤดูกาลสำคัญอย่างมาก อย่างหน้าฝนช่วงนี้มะขามอ่อนออกมากเราก็สามารถนำมะขามเหล่านั้นมาทำน้ำพริกมะขาม ถ้าทานไม่หมดสามารถนำน้ำพริกมาทอดและเก็บไว้กินวันหลังได้ หลายคนยังมองว่าน้ำพริกบางอย่างมีกลิ่นแรงเช่น น้ำพริกกะปิ ความจริงแล้วคนโบราณมีวิธีการทำให้กะปิไม่เหม็นโดยต้องนำกะปิไปย่างให้สุกก่อนทุกครั้ง ยิ่งคนสมัยใหม่ที่อยู่ในคอนโดยิ่งง่ายแค่เอากะปิเข้าไมโครเวฟให้เนื้อกะปิไม่แฉะ ขณะเดียวกันความร้อนจากการปิ้งจะทำให้แคลเซียมในเนื้อกะปิทำงานได้ดีขึ้น”

หากมองถึงนัยยะของน้ำพริกที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาคจะเห็นคุณค่าต่างๆ ที่ซ่อนอยู่อย่าง ในภาคกลาง เด่นในเรื่อง น้ำพริกกะปิ น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกหลน เครื่องเคียงจะเป็นปลาทู ปลาช่อนย่าง ปลาดุกฟู ปลาสลิดทอด ด้วยความที่ไม่ไกลจากทะเลมากนักโดยรสชาติจะเน้น 3 รส ส่วนผักต้มต่างๆ จะราดด้วยหัวกะทิเพื่อเพิ่มความมันซึ่งตามหลักโภชนาการจะทำให้วิตามินเอในผักทำงานได้ดียิ่งขึ้นเมื่อทาน

ภาคเหนือ มีน้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม กินคู่กับหมูปิ้งและแคบหมู ด้วยความที่เป็นเมืองหนาวน้ำพริกจึงเน้นให้มีไขมันซึ่งจะทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น ส่วนภาคอีสาน มีคลองมากจึงจับปลามาทำน้ำพริกปลาร้า และน้ำพริกกุ้งจ่อม รสชาติเน้นเค็มเพราะทำให้เหงื่อออกง่ายในเขตเมืองร้อน ภาคใต้ ติดทะเลจึงมี น้ำพริกกุ้งเสียบ ไตปลา คู่ผักสดเน้นรสเค็มเผ็ดให้เหงื่ออกเพื่อดับความร้อน

หลายคนมองว่าการทานน้ำพริกแล้วทำให้ท้องเสีย จริงแล้วความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการทำน้ำพริกตั้งแต่การล้างพริกถึงการตำน้ำพริก ซึ่งการจะให้คนที่ไม่เคยกินน้ำพริกหันมาทานในระยะแรกควรลดความเผ็ดลงในระดับที่ทานได้ ส่วนเครื่องเคียงไม่ควรให้ทานผักที่ขมๆ ควรให้ทานกับแตงกวาหรือผักบุ้งก่อน พอทานได้แล้วค่อยให้ลองผักที่มีรสขม

น้ำพริก ถือเป็นอีกเมนูที่ควรแก่การอนุรักษ์ไว้เพราะตอนนี้น้ำพริกหลายอย่างเริ่มหายากเต็มที เนื่องจากวัตถุดิบที่นำมาทำไม่มีขายในท้องตลาดเพราะไม่มีคนกิน การอนุรักษ์น้ำพริกต้องเริ่มจากครอบครัวตั้งแต่พ่อแม่กินเป็นตัวอย่างและถ่ายทอดสู่ลูก และพอลูกโตขึ้นจะถ่ายทอดเป็นช่วงๆ เมื่อครอบครัวทำแบบนี้น้ำพริกต่างๆ จะไม่สูญหายแถมยังช่วยให้ประหยัดเงินแม้ข้าวของจะแพงได้อีกด้วย

ถึงยุคสมัยจะเปลี่ยนผ่านไปเช่นไร สิ่งที่บรรพบุรุษได้คิดขึ้นและสั่งสมด้วยประสบการณ์ย่อมเป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เช่นเดียวกับน้ำพริกถือเป็นอาหารที่อยู่ท้องและทานได้ไม่ว่าประเทศไทยจะต้องผจญกับวิกฤติข้าวยากหมากแพงมากี่ยุคกี่สมัยก็ตาม

..............................

วิธีเลือกซื้อน้ำพริก

1. ดูที่ความสดภายนอกสีจะต้องไม่คล้ำจนเกินไป หรือถ้ามีมะเขือพวงหรือพริกเป็นส่วนประกอบต้องไม่มีสีคล้ำเข้ม ถ้ามีสีคล้ำแสดงว่าน้ำพริกได้ตำมานานแล้ว

2. ดมกลิ่นว่าเหม็นหืนหรือไม่ ถ้ามีกลิ่นแสดงว่าทำไว้นานแล้ว โดยเฉพาะน้ำพริกแห้งที่บรรจุกล่องพิจารณาเป็นพิเศษ

“น้ำพริก” ฝ่าวิกฤติ! ภูมิปัญญาทางเลือกยุคของแพง
▼▲ http://www.dailynews.co.th/

กรุบๆวุ้นเส้นสาหร่ายแก้ว ก๋วยเตี๋ยวเส้นแปลก เชียงใหม่

คอลัมน์ อิ่มอร่อย

    ร้านก๋วยเตี๋ยวเส้นแปลก ตั้งอยู่เลขที่ 45/5 ม.5 ต.ช้างเผือก ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เจ้าของสูตรยืนยันว่าเป็นเจ้าแรกและแห่งแรกในประเทศไทยเปิดร้านอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่

กรีน น.ส.กันยากร พชรกองคำกุล อายุ 35 ปี เล่าให้ฟังว่าเป็นคนชอบรับประทานอาหารที่แปลกๆ จะเข้าไปชิมร้านที่ชื่อแปลกๆ หรือมีเมนูแปลกๆ จะลองกินดู

จนกระทั่งไปศึกษารู้ว่า อาหารที่มีประโยชน์ต้องมาจากส่วนประกอบอาหารที่ดีหายาก จนพบวุ้นเส้นสาหร่ายแก้ว ซึ่งเพื่อนที่โคราชเป็นเจ้าของผลิต จึงใช้วุ้นเส้นนี้มาทำอาหารทั้งคาวและหวาน

วุ้นเส้นสาหร่ายดังกล่าวผลิตมาจากสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล เป็นสาหร่ายน้ำลึกพบมากที่ไต้หวัน แต่สกัดที่โคราช ขั้นตอนการสกัดทำแบบเดียวกับการทำเส้นขนมจีน แต่ต้องต้มสาหร่ายให้ได้น้ำสาหร่ายก่อนถึงจะนำน้ำสาหร่ายที่มีประโยชน์มาสกัด

เมื่อได้เส้นมาแล้วก็ทำอาหารได้เลย โดยแช่ในถุงให้มีน้ำสะอาดบริสุทธิ์ 100% เลี้ยงตัวเองไว้ แล วปิดถุงเก็บแช่เย็น พร้อมรับประทานก็แกะถุงมาประกอบอาหารทันที โดยไม่ต้องลวกหรือต้มหรือแช่อีกต่อไป ที่สำคัญได้มาตรฐานจากองค์การอาหารและยาแล้ว

วุ้นเส้นนี้กินแล้วไม่อ้วน เพราะสาหร่ายสีน้ำตาล หลังจากแปรรูปแล้วจะไม่มีสี ไม่มีแป้งคาร์โบไฮเดรต แต่มีแร่ไอโอดีน มีวิตามีน โปรตีน และมีใยอาหาร ไม่มี คอเลสเตอรอล เป็นอาหารที่ควบคุมน้ำหนัก

สาหร่ายนี้มีคุณสมบัติเหมาะกับการทำอาหารต่างๆ เพราะเวลากินจะสัมผัสถึงความกรอบกรุบ นุ่ม เหนียวในเส้นเดียวกัน

เริ่มจาก "สุกี้" ต้มลวกสาหร่ายแก้ว กินกับน้ำจิ้มสุกี้ อร่อยอย่างจุใจ หรือหากจะทำ "ยำ" ก็ใช้สาหร่ายแก้วคลุกเคล้ากับเครื่องยำได้ทันที โดยไม่ต้องลวกเส้นจะได้รสชาติถูกใจ

กรณีทำ "ก๋วยเตี๋ยว" ใช้สาหร่ายแก้วใส่แทนเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ทันที เหมาะกับสาวๆ ที่กลัวอ้วน ส่วน "กุ้งอบวุ้นเส้นสาหร่าย" ใช้สาหร่ายแก้วกับส่วนผสมที่เตรียมไว้ใส่ภาชนะที่ใช้สำหรับอบพร้อมกับกุ้ง เท่านี้ก็เสร็จ

สำหรับเมนู "ผัดไทย" และ "ผัดขี้เมา" ให้ผัดเครื่องปรุงทั้งหมดก่อนแล้ว จึงใส่สาหร่ายแก้วลงไปผัดคลุกเคล้าในขั้นตอนสุดท้าย

ส่วน "แกงจืด" ให้ใส่สาหร่ายแก้วในแกงจืดในขั้นตอนสุดท้ายจะได้แกงจืดที่อร่อยถูกหลักอนามัย

ด้าน "ราดหน้า" ก็ทำได้โดยนำสาหร่ายแก้วไปลวก ผัดเครื่องปรุงนำมาราดบนสาหร่ายแก้วจะได้ราดหน้าที่เอร็ดอร่อย

อีกเมนู "ส้มตำสาหร่ายแก้ว" คลุกเคล้าสาหร่ายแก้วกับเส้นมะละกอ แค่นี้ก็ได้ส้มตำที่อร่อยดีต่อสุขภาพ

นอกจากนี้ ทางร้านยังใช้สาหร่ายแก้วทำขนมหวานได้ด้วย โดยใช้เม็ดสาหร่ายหรือเส้นสาหร่ายมาผสมกับน้ำเฮลซ บลูบอยเลือกสีตามที่ชอบ ทิ้งไว้ 5 นาที เม็ดสาหร่ายและเส้นสาหร่ายจะออกสี แล้วตักใส่ถ้วยเติมน้ำเชื่อม กะทิ น้ำแข็งไสตามใจชอบ

อาหารที่ร้านราคาเริ่มต้นที่ 20-35 บาท และยังมีสาหร่ายแก้ว จำหน่ายเป็นกิโลให้นำกลับไปปรุงอาหารรับประทานเองที่บ้านได้อีกด้วย

ผู้ที่ต้องการสูตรปรุงอาหารด้วยวุ้นเส้นสาหร่ายหรือต้องการชิมก๋วยเตี๋ยวเส้นแปลงจากสาหร่ายธะนา หรือแวะมาที่ร้าน ตรงข้ามศาลปกครองเชียงใหม่ (หลังเก่า) ใกล้แยกอมารี รินคำ มุ่งหน้าไปทางเหนือ อยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านสนสวย ร้านก๋วยเตี๋ยวจะอยู่หน้าร้านอาหารหมูจุ่มรสแซบ ติดต่อสอบถามได้ที่โทร.08-9265-6535


▲▼ http://www.khaosod.co.th/

อร่อยสบายกระเป๋าที่ ซูเปอร์ดูเปอร์

    ร้านเล็ก ๆ อย่าง Super Duper หรือ “ซูเปอร์ ดูเปอร์” ย่านตึกแถวด้านข้างมหาวิทยาลัยรังสิต อบอุ่นด้วยกลุ่มนักศึกษาที่แวะเวียนเข้ามาเป็นลูกค้าประจำตลอดทุกช่วงเวลา ที่นี่มีอาหารหลากหลายเมนูทั้งไทยและเทศในราคาสบายกระเป๋า ให้คิดเลือกทานได้ตามใจชอบ
คำนวณราคาอาหารร้านนี้เริ่มต้นที่ 30 บาทขึ้นไป ราคาที่ไม่แพงมาก

แม่พลอยเริ่มต้นเลือกเมนูตามใจตัวเองเป็น สลัดสาหร่ายวากาเมะกับปูอัดและแตงกวาราดน้ำสลัดมิโซะและงา เรียกน้ำย่อยก่อน ถูกใจตรงที่มีสาหร่ายวากาเมะและปูอัด
ใส่มาให้เพียบแบบไม่มีหวงของ แถมน้ำสลัดออกเปรี้ยวนำ ยิ่งทานยิ่งเรียกน้ำย่อย ไล่ลำดับมาด้วยเมนู ไก่พาร์เมซาน รับรองได้ว่าถูกปากคนชอบทานไก่เป็นแน่แท้ เนื้อไก่ส่วนอกที่นำมาหมักกับเครื่องปรุงและชุบเกล็ดขนมปังทอดให้กรอบนุ่ม ๆ

    ทานกับน้ำจิ้มที่เจ้าของร้านปรุงเองด้วยการใช้มายองเนส โชยุ ทาบาสโก ออริกาโน พริกไทย มาผสมรวมกันในอัตราส่วนที่พอดี ยิ่งได้รสชาติดีขึ้นไปอีก เมนูนี้มีสลัดผักและเฟรนช์ฟรายส์เสิร์ฟเคียงมาให้ด้วย เรียกว่า อร่อยคุ้ม

คร็อกเก้แกงกะหรี่ปูอัด ใช้มันฝรั่งบดชุบไข่และเกล็ดแป้งขนมปังทอดเหลืองกรอบ สอดไส้ข้างในเป็นแกงกะหรี่ปูอัด หอมกรุ่น กลมกล่อมความอร่อยของมันบดเข้ากับเครื่องเทศแกงกะหรี่ได้อย่างดี ถ้าชอบอาหารจานเดียวแบบมีข้าวสวยร้อน ๆ



    ทานไปพร้อมกับกับข้าวรสดีและราคาประหยัด แนะนำ ข้าวปลาซาบะย่าง เนื้อปลาซาบะแน่นหนึบ หอมกรุ่น ทานกับน้ำจิ้มออกรสหวาน ตามด้วยข้าวสวยที่ออกมันหอม เมนูนี้เป็นเมนูเด่นที่นักชิมส่วนใหญ่นิยมชมชอบต้องทานตอนร้อน ๆ

ส่วนใครชอบทานแกงกะหรี่ มี เมนู ข้าวแกงกะหรี่ไก่ มีน่องไก่แสนนุ่มถึงเครื่องเทศแกงกะหรี่ น้ำแกงเข้มข้น ทานคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ จานเดียวอิ่มท้องไปนาน ชอบเมนูจานเส้น มี สปาเกตตีครีมซอสไข่กุ้ง

สีสันสวยงามด้วยเส้นสปาเกตตี เหลืองนวลชุ่มด้วยครีมและสีสันของไข่กุ้งที่โรยมาเต็ม ๆ ต้องบอกว่า ถ้าใครชอบสปาเกตตีที่มีครีมออกมันเข้มข้น ต้องลองเมนูนี้ปิดท้ายมื้ออร่อย ราคาประหยัด ด้วย แพนเค้ก และ ไอศกรีมราดน้ำผึ้ง รวมไปถึง เครื่องดื่มเย็น ๆ ชื่นใจอย่าง น้ำแอปเปิ้ลปั่น และ ราสเบอร์รี่ปั่น รับรองติดใจทั้งรสชาติและราคาที่ถูกเงิน




ถูกใจถึงแม้รอบรั้วมหาวิทยาลัย อาจไม่ใช่จุดหมายที่หลายคนคิดว่าจะมุ่งหน้าไปหาของอร่อยทานเป็นที่ตั้ง แต่รอบรั้วมหาวิทยาลัย มีอาหารรสชาติดีขาย ราคาสบายกระเป๋า อิ่มสบายท้อง ชวนให้ได้บรรยากาศการนั่งทานอาหารที่แปลกแตกต่างจากการนั่งทานอาหารในร้านอาหารทั่วไป ไม่ต้องเชื่อตามนี้ แต่ลองตามหามิติสัมผัสนี้ดูด้วยตัวเองที่ร้านอาหารเล็ก ๆ อย่าง ซูเปอร์ ดูเปอร์ ย่านมหาวิทยาลัยรังสิต ที่เปิดบริการทุกวัน



ตั้งแต่เวลา 07.00–19.00 น. สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-1844-9593.


Credit : เรื่อง/ภาพ : แม่พลอย
: http://www.dailynews.co.th/

อดีตคุณครูประถมมีฝีมือทำอาหาร ทิ้งชอล์ก-เปิดบ้านขายตามสั่งรายได้ดี

คอลัมน์ เส้นทางเถ้าแก่
กิตติ วงศรัตนาวุธ

    "เส้นทางเถ้าแก่" สัปดาห์นี้ลงใต้มาจ.พังงา มาหาของกินอร่อย ที่อยู่ริมถนนเพชร เกษมจากสนามบินนานาชาติจังหวัดภูเก็ตสู่เขาหลัก จังหวัดพังงา ข้ามสะพานสารสิน ถึงตลาดธุรกิจเมืองโคกกลอย ไปทางท้าย เหมือง-ตะกั่วป่า เขาหลัก เพียง 800 เมตร ซ้ายมือจะมีร้านก๋วยจั๊บ-ผัดไทย ชื่อร้าน "ผัดไทยครูอวยพร" บ้านเลขที่ 39 หมู่ที่ 4 บ้านวัดเขา ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา เจ้าของคือ นางอวยพร ไตรศรี


- เดิมเป็นครูสอนนักเรียน

อดีตคุณครูอวยพร เล่าให้ฟังว่า ก่อน จะมาถึงวันนี้ เป็นครูบ้านนอกอยู่ที่โรงเรียนบ้านในหยง มา 26 ปีทุกครั้งที่มีงานที่โรงเรียนก็มักมีหน้าที่ทำกับข้าว เลี้ยงผู้หลักผู้ใหญ่ หรือแม้เลี้ยงเด็กนักเรียน จนไม่มีเวลาสอนเด็กๆ เพราะครูใหญ่บอกว่า "ครูอวยพร" มีความถนัดด้านอาหารมาก ก็มักจะสั่งให้ทำเรื่องอาหารเป็นส่วนใหญ่

- วันหยุดเปิดบ้านขายอาหาร

"ส่วนเสาร์-อาทิตย์ โรงเรียนปิด ก็มาทำอาหารตามสั่งขายเองที่บ้านพร้อมกับทำก๋วยจั๊บ ผัดไทยซีฟู้ด ข้าวคลุกกะปิ ข้าวผัดใบกะเพรา หรือ ตือฮวน สุกียากี้ เย็นตาโฟ เปิดเป็นร้านอาหาร พร้อมเครื่องดื่ม น้ำส้มปั่น น้ำสับปะรด น้ำกระเจี๊ยบ น้ำลำไย เริ่มต้นก็ขายในราคา 20-25 บาท เพื่อนบ้านและเพื่อนครู หรือผู้คนที่เริ่มรู้จักมารับประทานกันมากขึ้น"

- เออร์ลี่มาขายอาหารตามสั่ง

อายุราชการก็ 26 ปีแล้วเลยเออร์ลี่ออกมาประกอบอาชีพอิสระของตัวเอง มีความถนัดเรื่องอาหารอยู่แล้วที่ผ่านมา เปิดขายเสาร์-อาทิตย์ มาประมาณปีกว่าคำนวณดูแล้ว อยู่ได้สบายๆ มีสามีคอยเป็นผู้ช่วย

- พระเอกของร้าน

อาหารเด่นของร้านก็มีหลายอย่าง เพราะที่ร้านจะใช้ของสด อย่างผัดไทยซีฟู้ดถือว่าอยู่แถวหน้า เพราะใช้กุ้งสด หมึกสด ห่อไข่ ซื้อขายกันวันต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีเครื่องเคียง กากหมู ถั่วลิสงป่น ที่คั่วเอง

"ผัดไทยทางร้านทำมา 8 ปีแล้วลูกค้ายังติดใจส่วนใหญ่มาทานก็จะสั่งผัดไทย"

- รายได้หลักของครอบครัว

ทุกวันนี้สามารถเป็นรายได้หลักให้กับครอบครัวได้อย่างสบายๆ ตอนนี้มีลูกชายมาช่วยอีกหนึ่งแรง ทำกันสองคนตายายบางทีไม่ค่อยจะไหวเพราะบางวัน บริษัทในจังหวัด หลายแห่งมาเหมาจัดงานครั้งละ 1,000 กล่อง มีทั้งผัดไทย ขนมจีนให้กับลูกค้า ก็ภูมิใจที่บริษัทห้างร้านให้ความสนใจกับอาหารไทยๆ กินง่ายๆ จากร้านธรรมดาๆ ข้างทาง ถือว่าเป็นกำลังใจอย่างหนึ่งของคนทำมาหากิน

สำหรับท่านใดที่ผ่านโคกกลอย อย่าลืมไป ร้านผัดไทย ครูอวยพร ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม สายตลาดโคกกลอย-ท้ายเหมือง เลขที่ 39 หมู่ที่ 4 บ้านวัดเขา ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา โทร.0-7643-4064, 08-6950-3743 หยุดทุกวันจันทร์

อดีตคุณครูประถมมีฝีมือทำอาหาร ทิ้งชอล์ก-เปิดบ้านขายตามสั่งรายได้ดี
▼▲ http://www.khaosod.co.th

'เส้นบะหมี่ไข่'หาตลาดขายได้ไม่ยาก

สำหรับการทำ “เส้นบะหมี่ไข่” นั้น อุปกรณ์ในการทำหลัก ๆ ก็มี เครื่องนวด, เครื่องกระแทกอัดแน่น, เครื่องรีด นอกนั้นก็จะเป็นอุปกรณ์ครัวเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ

ส่วนผสม/วัตถุดิบการทำ “เส้นบะหมี่ไข่” หลัก ๆ ก็มี แป้งสาลี, โซเดียมคาร์บอเนต, ไข่ไก่, เกลือป่น, น้ำสะอาด และแป้งนวลที่ใช้สำหรับโรยบะหมี่

ขั้นตอนการทำ “เส้นบะหมี่ไข่” เริ่มจากนำแป้งสาลีมาร่อน 3-4 ครั้งเพื่อให้แป้งเบา ตั้งพักไว้ในอ่างผสม ทำเป็นบ่อตรงกลางแป้ง ละลายเกลือป่นและโซเดียมคาร์บอเนตในน้ำสะอาด ตอกไข่ไก่ใส่ตามลงไป ตีให้เข้ากัน เสร็จแล้วเทลงไปผสมกับแป้งสาลี ทำการนวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี นำเข้าเครื่องกระแทกแป้งให้แน่น เสร็จเอาผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาด ๆ คลุมปิดไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง (ในขั้นตอนนี้หากไม่มีเครื่องนวดและเครื่องกระแทกแป้ง ก็ใช้มือนวดไปเรื่อย ๆ ขณะนวดก็ทุ่มน้ำหนักมือไปที่แป้ง นวดจนแป้งเหนียวนุ่ม มีความยืดหยุ่น เด้ง ๆ ดีแล้วก็พักไว้)

ต่อไปเป็นขั้นตอนการรีดแป้งเป็นแผ่น โดยโรยแป้งนวลลงบนกระบะที่จะรีดแผ่นแป้งเตรียมไว้ จากนั้นนำส่วนผสมแป้งที่ได้มาเข้าเครื่องรีด ทำการรีดทับให้เป็นแผ่นยาว ไล่จากหนาไปหาบางตามความต้องการ เสร็จแล้วนำแป้งนวลมาโรยเส้นบะหมี่ที่ได้ แล้วจับให้เป็นก้อนด้วยมือ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สำหรับจุดเด่นของเส้นบะหมี่ไข่เจ้านี้นั้น อากู๋ชาบอกว่า อยู่ที่ความเหนียว นุ่ม ยืดหยุ่น และก้อนใหญ่ โดยแต่ละก้อนน้ำหนักอยู่ที่ 100 กรัม หรือเท่ากับ 2 ก้อนของบะหมี่ที่วางขายตามตลาดทั่ว ๆ ไป การเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในตู้เย็น ซึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 3-4 วัน หากเก็บไว้นานไปเมื่อนำไปใช้เส้นจะเละ

ใครสนใจ “เส้นบะหมี่ไข่” และลูกชิ้น ของอากู๋ชา ก็ต้องไปที่ร้าน ปรีชาลูกชิ้นหมู ปรีชาบะหมี่เกี๊ยว เลขที่ 73/2 หมู่ 10 ต.เจดีย์หัก อ.เมือง จ.ราชบุรี อยู่บริเวณสามแยกเขางู ซึ่งร้านนี้ทำเงินจากการรับจัดงานนอกสถานที่ได้ด้วย โดยคนที่สนใจเรียนรู้การทำบะหมี่ แผ่นเกี๊ยว ลูกชิ้น เพื่อเป็น “ช่องทางทำกิน” ลองติดต่อสอบถามไปที่ โทร. 08-1197-5780 และ 08-1668-3998.

เชาวลี ชุมขำ / ชนิกานต์ วงศ์สุธารส / อนุสรา แสงเงิน : เรื่อง-ภาพ

▼▲http://www.dailynews.co.th/

แกงกะทิมะระขี้นก อุดมด้วยสมุนไพร

มะระขี้นกมีรสขมจัด เชื่อว่ามีสรรพคุณรักษาอาการป่วยบางชนิดได้ ชาวบ้านนิยมกินกันมานาน ทั้งต้มจิ้มน้ำพริก ผัดกับไข่ และแกง

เสถียร ท้วมจันทร์ ข่าวสดสุพรรณบุรี พาไปรู้จัก 'แกงกะทิมะระขี้นก' ในแบบฉบับคนสุพรรณฯ

ใช้มะระขี้นกลูกสีเขียวกลางแก่กลางอ่อน ผ่าครึ่งตามยาวของผล นำเมล็ดออก ล้างให้สะอาด หั่นตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆ ผึ่งไว้ให้แห้ง

เตรียมเครื่องแกง พริกแห้ง ผิวมะกรูด กระชาย กระเทียมไทย หอมแดง ตะไคร้ กะปิ โขลกให้ละเอียดด้วยครกธรรมดา หรือครกหินตามสะดวก

ได้ออกแรง-ออกกำลังกายอย่างดีเยี่ยม ขณะที่ปัจจุบันแม่ครัวสมัยใหม่นิยมใช้เครื่องปั่น ละเอียดได้ที่แล้ว ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่เครื่องแกงที่เตรียมไว้ลงไปผัดพร้อมกับหัวกะทิ บางคนอาจใช้กะทิสำเร็จรูปแบบกล่อง

แต่ถ้าเป็นกะทิที่คั้นกับมือ จากมะพร้าวแก่ๆ ปอกเองคั้นน้ำกะทิเอง จะอร่อย มีความมันและหอมกว่า

เคี่ยวต่อให้แตกมัน จนได้กลิ่นหอมกรุ่นแบบฉุนนิดๆ เมื่อแตกมันดี เครื่องแกงเข้ากันได้ที่แล้ว ใส่เนื้อหมูสับหรือเนื้อหมูชิ้นลงไป เน้นย้ำเนื้อหมูขอให้สด อย่าทิ้งข้ามวันข้ามคืน มิเช่นนั้นจะมีกลิ่น เสียรสชาติ

ผัดเนื้อหมูให้สุก เพิ่มกะทิลงไปอีก เคี่ยวต่อจนเดือด จากนั้นใส่มะระที่เตรียมไว้ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล ตามชอบ

เมนูนี้จะให้ได้รสชาติกลมกล่อม ต้องมีรสมัน ขม เค็ม หวาน ปนอร่อยเหาะ ลืมไม่ลงเลยทีเดียว

แกงกะทิมะระขี้นก อุดมด้วยสมุนไพร
http://www.khaosod.co.th/

ขนมจีนหล่ม เจ๊แร่ มีน้ำขนมจียในทดลองกัน 5 สูตร


ขนมจีนหล่ม เจ๊แร่ ไม่แน่คงอยู่ไม่ได้มากกว่า 50 ปี


ได้รับทราบคำตัดสินของศาลโลกแล้วทำให้เราใจชื่นขึ้นบ้าง เราคงไม่เสียดินแดนไปในช่วงเวลาอันสั้นนี้ แต่คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดไม่ให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำเราเสียดินแดนแบบโง่ๆ หรือ ตั้งใจโง่ให้เสียดินแดน บรรยากาศการเมืองในช่วงนี้ดูท่าจะใกล้จะหยุดขุ่นเสียที  เอาเป็นว่าข้างฝ่ายแพ้ก็ให้ทางฝ่ายที่เขาชนะทำงานเสียก่อนแล้วค่อยติเตียนกัน เล่นกันตั้งแต่ไก่โห่อย่างนี้มันจะจบอย่างไร... ผมไม่อยากให้เสียภาพ"แพ้แล้วชวนตี" ครับผม



 

ส่วนสัปดาห์นี้ได้มีโอกาสไปเยือนเมืองเพชรบูรณ์ เมืองสงบ เงียบ ดินแดนที่น่าอยู่มากครับ ได้ไปบนเขาค้อตอนแรกคิดว่าอากาศคงร้อนแน่ๆ แต่ที่ไหนได้กลับเย็นสบาย ถามเจ้าของที่บอกว่าอากาศเย็นอย่างนี้ตลอดปีครับ ส่วนหน้าหนาวจัดหนักหนาวเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนอาหารก็อร่อย มาครั้งนี้ต้องของขอบคุณน้องต่อ (น้องสาวที่อยู่ทีโอที ยอดฝีมือแต่เจ้านายไม่เห็นคุณค่า) หาบ้านที่พักให้ในช่วงหยุดยาวครั้งนี้ ได้ที่พักไร่เจริญผล ของผกก.วิวัฒน์ เป็นจุดที่สวยที่สุดเห็นทะเลหมอก มีจุดนี้จุดเดียวครับที่จะเห็นแบบนี้  แต่มาครั้งนี้ได้ไปเยือน อ.หล่มสัก โดยมีเฮียเฮง (สท.ทวีชัย พรสุพรรณวงศ์) ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีครับ ได้ชิมอาหารหลายอย่าง ถ้าจะว่าไปแล้วมาหล่มสักไม่ได้กินขนมจีนถือว่ามาไม่ถึง ร้านที่จะพาไปกินได้ชื่อว่าเป็นของกินเข้าโต๊ะเสวย บอกก็ได้ร้านชื่อ ขนมจีนเจ๊แร่  เขาขึ้นชื่อจริงๆ





มาสั่งกันเลยดีกว่า รวมโต๊ะครั้งนี้มีน้องต่อแสนสวยเป็นผู้จัดการรายการอาหาร บนโต๊ะมีน้ำขนมจีนอยู่ 5 หม้อ มีทั้งน้ำยากะทิ น้ำยาป่า น้ำยาปักษ์ใต้ น้ำพริก และน้ำต้มปลาร้า  (ที่นี่เขาคิดค่าขนมจีนกับผักส่วนน้ำขนมจีนจัดไปแล้วแต่ชอบครับ) เส้นของที่นี่เป็นเส้นขนมจีนสดผสมสมุนไพร มีทั้งอัญชัน แครอท ใบเตย และเส้นขนมจีน ได้มากินครั้งนี้ผมกินได่้แต่น้ำยากะทิและน้ำพริกเท่านั้น อย่างอื่นคงต้องปล่อยให้สาวๆกินไป กินไม่เป็นครับ ได้แต่ ลองนิดๆหน่อยๆ บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี เอาว่าไม่วิจารณ์ดีกว่า  แต่ทั้งสองน้ำที่กินต้องบอกว่าอร่อยมากครับชอบที่เดียว  ส่วนเครื่องเคียงที่เป็นผักต่างๆครบครันแต่น้อยกว่าขนมจีบปักษ์ใต้ อันนั้นผักเพียบ เผ็ดจนเข็ดจากวันนั้นมาถึงทุกวันนี้ ผมเลยไม่ค่อยกล้ากิน  ร้านนี้มีของอร่อยอีกอย่างคือ ลูกชิ้นปูทอด เด็ดเลยครับ มากินแกล้มเป็นเรื่องเป็นราวเลยที่เดียว



 

ร้านนี้ไปไม่อยาก เข้ามาทางตัวเมืองหล่มสัก มาถึงแยกที่จะไปวัดคาทอลิก เลี้ยวไปทางขวาตรงข้ามไปอีกหนึ่งแยก ร้านอยู่ที่ขวา เห็นแล้วลุยได้เลยครับ ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 11 ในซอยปฏิภาค (ซอยวจี 13) ถนนวจี อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์  เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 น.  โทร 056-701988,084-0495298  เจ๊เขาจัดเต็มครับ

Rating : ชาตินี้ต้องกิน

Latitude :  16.78105
Longitude: 101.24408

เรื่องและภาพโดย
ธนา ทุมมานนท์ (เบย์พาเลส)

www.facebook.com/baypalace
▼▲http://www.thairath.co.th/content/life/187339

เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นบะหมี่ หลากเมนูเป็ด ครัวหนิง (คลอง3)

ไม่ใช่คนย่านคลอง 3 ลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เห็นทีไม่คุ้นและไม่เคยที่จะได้ลิ้มรสเมนูเป็ดหลากหลาย ที่ ครัวหนิง เป็นแน่แท้ เพราะทำเลที่ตั้งซับซ้อนอยู่ในเส้นทางลัดไปคลอง 4 เขตตำบลลาดสวาย ลำลูกกา แต่ร้านนี้ไม่ไร้ลูกค้า เพราะคนชอบทานเป็ดแถบนี้ แวะเวียนมาลิ้มรสไม่ขาดสายทุกวัน

ครัวหนิง เริ่มต้นจากการเปิดบริการความอร่อย จากร้านเล็ก ๆ ขยายมาเป็นร้านใหญ่ในช่วงเวลา 7 ปี เมนูชูรสเด่นของเมนูเป็ดหลากหลายให้เลือกชิม เด่นรสและเป็นที่ติดอกติดใจของนักชิมส่วนใหญ่ เห็นจะเป็น ข้าวกะเพราเป็ด ข้าวสวยร้อน ๆ หอม ๆราดด้วยเนื้อเป็ดพะโล้ที่ผัดเป็นกะเพรารสชาติหอมกรุ่นเนื้อเป็ดนุ่มซึมแทรกความแซบของพริกและใบกะเพรา อยากจะทานไปพร้อมกับไข่ดาวมีบริการพร้อมเสิร์ฟลดความเผ็ดมาทาน ข้าวหน้าเป็ด มีข้าวสวยร้อน ๆ รองรับความหอมกรุ่นของเป็ดพะโล้ ทั้งเนื้อเป็ดสับ เลือด ตับ ราดด้วยน้ำพะโล้และน้ำจิ้ม ยิ่งทานยิ่งติดใจในความนุ่ม หอม ถามถึงกลิ่นสาบเป็ดตอบได้เลยว่า ไม่มีมาให้เสียความรู้สึก

เมนูเส้นประเภท ก๋วยเตี๋ยวเป็ด มีเส้นให้เลือก ทั้ง เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นบะหมี่ เส้นหมี่ วุ้นเส้น และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สุดแท้แต่จะชอบ รสเด่นอยู่ที่น้ำซุปหอมกลมกล่อม ต้องชิมก่อนปรุง เนื้อเป็ด เลือด นุ่มอวลด้วยน้ำพะโล้ไม่มีเครื่องยาจีนอวลตลบ เพราะร้านนี้ใช้สูตรต้มเป็ดพะโล้ในแบบที่คิดเอง ถ้าอยากทานน่องเป็ดชิ้นโต สั่งเพิ่มมาได้รับรองได้ทานเนื้อน่องเป็ดแสนนุ่มได้อย่างเพลิดเพลิน

เบื่อเมนูเส้นลอง เกาเหลาเป็ด เกาเหลาน่องเป็ด เกาเหลาเนื้อเป็ดและน่อง น้ำซุปกลมกล่อม เนื้อเป็ดนุ่มทานกับข้าวสวยร้อน ๆ อิ่มอร่อยคุ้ม ยังไม่อิ่มหนำกับเมนูเป็ด สั่ง คอเป็ด ปีกเป็ด ตีนเป็ด เครื่องในเป็ด มาทานเป็นจาน ๆ ย่อมได้ ไม่มีใครห้ามถ้าไม่อิ่มแปล้เสียก่อน

ครัวหนิง ยังมี เย็นตาโฟ ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ รสชาติดี ไม่แพ้กับเมนูเป็ดทั้งหลาย ไว้คอยบริการคนไม่ชอบทานเป็ด แถมยังมี ข้าวต้มมัด ขนมไทย ๆ ที่มีไส้ถั่ว เผือก และกล้วย ข้าวเหนียวหนึบ มันกะทิ ไม่หวานแหลม แถมไส้หนากว่าตัวข้าว ทานแล้วหลงรักข้าวต้มมัดร้านนี้เข้าอย่างจัง ส่วนเครื่องดื่มเย็นมี น้ำโอเลี้ยง น้ำลำไย น้ำกระเจี๊ยบ เก๊กฮวย ชาดำเย็น ไว้คอยบริการให้ดื่มแก้กระหาย เย็นชื่นใจ

ถ้าชอบทานเป็ดพะโล้ ลองแวะเวียนไปลิ้มรสชาติ ที่ครัวหนิง (คลอง 3) ดูสักหน เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00- 16.00 น. สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-9485–9043 และ 08-1722-0232.

เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นบะหมี่ หลากเมนูเป็ด ครัวหนิง (คลอง3)

แม่พลอย
http://www.dailynews.co.th

▨▨ 'โมจิไส้สตรอเบอรี่' ▨▨ ขายได้ราคาดีด้วยความต่าง

    แม้แต่อาหารการกิน ขนม และเครื่องดื่ม ก็จำเป็นจะต้องสร้างจุดขาย เฟ้นหาความแตกต่าง เพราะนอกจากจะใช้เป็นจุดเรียกความสนใจได้แล้ว ก็ยังถือเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าจดจำสินค้าได้อย่างดี อย่างเช่น ’โมจิไส้สตรอเบอรี่“ อีกหนึ่งไอเดีย ’ช่องทางทำกิน“ ที่จะนำเสนอให้ได้ลองพิจารณากันในวันนี้...

“หญิง-จุติภัค ยังโนนตาด” เจ้าของสูตร “โมจิไส้สตรอ เบอรี่” เล่าว่า เดิมทีทำงานเป็นครูสอนคอมพิวเตอร์ ต่อมารู้สึกเบื่องานประจำ จึงพยายามมองหาลู่ทางที่จะหยิบจับทำธุรกิจของตัวเอง ก็เป็นคนชอบทานขนม และเคยชิมโมจิสดแล้วรู้สึกติดใจในรสชาติ ประกอบกับได้คำแนะนำจากเพื่อนที่รู้จักกันซึ่งเดินทางมาจากญี่ปุ่น แนะนำว่าน่าจะลองทำดู จึงตัดสินใจฝึกหัดทดลองทำ และพยายามปรับสูตรเรื่อยมาจนลงตัว หลังจากนั้นก็เริ่มทดลองตลาดโดยนำไปฝากให้ผู้ใหญ่ที่รู้จักกันทดลองชิม ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดี เมื่อทำขายจริงก็มียอดสั่งซื้อตลอด โดยยึดอาชีพนี้มาได้ 2 ปีกว่าแล้ว

“เป็นคนชอบทานขนม จึงคิดว่าถ้าจะทำอาชีพส่วนตัวก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับขนม และพอดีได้รับคำแนะนำจากเพื่อน ๆ บอกว่าน่าจะลองทำดู เพราะในตลาดนั้นคู่แข่งที่ทำโมจิสดนี้ยังมีน้อยมาก คนที่อยากจะทานก็ต้องทานในร้านอาหารญี่ปุ่นเท่านั้น จึงคิดว่าน่าจะมีช่องว่างให้เราทำได้ ก็จึงลงมือทำ”

เจ้าของสูตรโมจิบอกอีกว่า การผลิตยังเป็นรูปแบบของอุตสาหกรรมในครัวเรือน ไม่มีหน้าร้าน และทำตามยอดสั่งซื้อจากลูกค้า เพราะเน้นผลิตโมจิแบบวันต่อวัน โดยจะไม่ทำค้างคืนเก็บไว้
ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็มีทั้งที่นำไปเป็นของว่างรับแขกในงานเลี้ยง และมีทั้งที่ซื้อเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ โดยโมจิสดของตนสามารถเก็บไว้นอกตู้เย็นได้ประมาณ 3 วัน แต่ถ้าแช่ตู้เย็นก็จะสามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 1 สัปดาห์


  สำหรับไส้ขนมโมจิที่ทำอยู่เป็นประจำนั้น ขณะนี้มีอยู่ประมาณ 12 ไส้ ได้แก่ เผือก, ชาเขียว, ถั่วแดง, ถั่วเหลือง, งาดำ, พุทรา, กาแฟ, ไดฟุกุ, ทุเรียน, โมจิสด, วิปปิ้งครีม และ สตรอเบอรี่ โดยเฉพาะอย่างหลังจะได้รับความสนใจค่อนข้างมาก และทำให้ลูกค้าจำยี่ห้อได้ดี แต่จะทำเฉพาะลูกค้าที่สั่งพิเศษเท่านั้น เพราะราคาของวัตถุดิบค่อนข้างจะสูงกว่าโมจิไส้อื่น ๆ ส่วนเหตุผลที่ทำโมจิไส้ผลสตรอเบอรี่นั้น ก็เพราะต้องการ ฉีกตัวเองออกไปจากตลาดคู่แข่ง และต้องการให้ลูกค้าจดจำสินค้าได้ โดยใช้สตรอเบอรี่ 1 ผล ต่อโมจิ 1 ลูก ราคาขายคือ 30 บาท

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้เงินทุนประมาณ 30,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าเครื่องมือและอุปกรณ์ ขณะที่ทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ที่เริ่มต้นลูกละ 12 บาท ไปจนถึง 30 บาท

  อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการทำ ประกอบด้วย เครื่องตีแป้ง, แม่พิมพ์กดลายโมจิ, ภาชนะและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ในงานเบเกอรี่ สำหรับส่วนผสม ถ้าใช้แป้งผสมสำเร็จรูป 1 กิโลกรัม จะใช้แบะแซ 1 กิโลกรัม, ถั่วแดงกวน 2 กิโลกรัม, น้ำสะอาด 900 กรัม, สีผสมอาหาร, กลิ่นสังเคราะห์, ผงไอซ์ซิ่ง และผลสตรอเบอรี่ 100 ลูก โดยสูตรนี้ทำโมจิได้ราว 100 ลูก

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำแบะแซผสมรวมกับน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ในภาชนะ ต้มด้วยไฟกลาง ๆ และคนไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมละลายตัว จากนั้นเติมสีและกลิ่นผสมอาหารที่เตรียมไว้ตามต้องการ คนต่อไปให้เข้ากัน เมื่อส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวแล้วให้ทำการเทแป้งลงในน้ำที่ผสมเสร็จ จากนั้นหรี่ไฟลงเล็กน้อย หรือใช้ไฟอ่อน ๆ ทำการคนแป้งให้เข้ากัน หรือกวนจนแป้งสุก ร่อน ไม่ติดหม้อ โดยต้องกวนให้ทั่ว ๆ หลังจากดูว่าส่วนผสมเข้าเนื้อกันดีแล้ว จึงนำมาเทออกใส่ภาชนะหรือถาด ทิ้งไว้ให้อุ่นพอปั้นได้ จากนั้นทำการนวดแป้งด้วยมืออีกครั้ง แล้วพักเตรียมไว้

  สำหรับไส้สตรอเบอรี่นั้น จะห่อผลสตรอเบอรี่ด้วยถั่วแดงชั้นหนึ่งก่อน การทำไส้ถั่วแดง ก็นำถั่วแดงที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วแช่น้ำ แล้วนำมาปั่นละเอียดด้วยเครื่องปั่น จากนั้นนำไปผสมน้ำเทใส่ลงหม้อต้ม ใช้ไม้พายคนหรือกวนไปเรื่อย ๆ บนไฟอ่อน เติมรสตามชอบ เมื่อกวนจนไส้ถั่วแดงเหนียวได้ที่ ก็ตักพักไว้ในภาชนะเพื่อรอให้เย็นหรือเซตตัว

  มาถึงขั้นตอนการปั้น ใช้ช้อนตักแป้งที่เตรียมไว้ออกมา ปั้นให้เป็นก้อนกลม ๆ แล้วนำถั่วแดงมาหุ้มผลสตรอเบอรี่ที่เตรียมไว้ จากนั้นนำแป้งโมจิที่ปั้นไว้แผ่ออกและค่อย ๆ หุ้มลงบนผลสตรอเบอรี่ที่พอกด้วยถั่วแดง แล้วจึงปั้นหรือจัดแป้งให้เป็นรูปทรงกลม นำไปเข้าแม่พิมพ์เพื่อกดลาย (ในกรณีที่ไม่ต้องการกดลายบนขนมโมจิ ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไป) เมื่อได้แล้วก็ให้นำไปคลุกผงไอซ์ซิ่ง จากนั้นบรรจุลงบรรจุภัณฑ์ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

  “ขั้นตอนไม่ยุ่งยากซับซ้อนมาก แต่ก็ต้องใช้เวลา โดยจุดเด่นของโมจิสดคือ ความเหนียวนุ่มของแป้ง” เจ้าของสูตรโมจิสดไส้ผลสตรอเบอรี่กล่าว

สนใจ ’โมจิสดไส้สตรอเบอรี่“ ต้องการติดต่อ หญิง-จุติภัค ติดต่อได้ที่ เลขที่ 88/15 ถนนเลียบทางด่วนวงแหวนประชาอุทิศ ทุ่งครุ กรุงเทพฯ โทร. 08-7455-3351, 08-1557-2421 ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกกรณีศึกษา อีกไอเดียเกี่ยวกับอาชีพค้าขายอาหารการกิน ที่พลิกแพลงดัดแปลงเพื่อสร้างจุดน่าสนใจ...ได้อย่างน่าสนใจ.


▨▨ 'โมจิไส้สตรอเบอรี่' ▨▨ ขายได้ราคาดีด้วยความต่าง
**
Credit  : http://www.dailynews.co.th ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ รายงาน

‘ผัดกะเพราฟักทอง’แม่ลูกอ่อนกินดี

    ‘ผัดกะเพรา’ อาหารจานด่วน ทำไม่ยาก กินง่าย ที่ใครๆ มักเรียกว่าเป็นอาหารสิ้นคิด นึกอะไรไม่ออกก็สั่งผัดกะเพรามากินให้หายหิวก็แล้วกัน ทว่าเมนูเบสิกนี้ก็สามารถประยุกต์ให้เหมาะกับคุณแม่ลูกอ่อนได้ ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ ขอแนะนำ ‘ผัดกะเพราฟักทอง’ สรรพคุณบำรุงกำลังและผิว แถมยังช่วยเพิ่มน้ำนมด้วย

‘ใบกะเพรา’ ทราบกันดีว่ามีสรรพคุณแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดจุกเสียด แน่นท้อง บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนแล้ว ก็ยังช่วยบำรุงน้ำนมให้คุณแม่ลูกอ่อนหลังคลอดได้ ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามา อย่าง ‘ฟักทอง’

อุดมด้วยวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน บำรุงผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง และชะลอความแก่

นอกจากนี้ในสูตรยังเพิ่ม ‘เห็ดฟาง’ ที่ช่วยบำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลียและเบื่ออาหาร ป้องกันไข้หวัดใหญ่ ลดไขมันในเส้นเลือด ‘กุ้งชีแฮ้’ ช่วยเพิ่มน้ำนม ส่วน ‘พริกขี้หนู’ ที่เป็นเครื่องปรุงชูรสชาติและเพิ่มกลิ่นให้น่ารับประทาน มีสรรพคุณแก้หวัด คัดจมูก แต่ถ้าคุณแม่ที่ต้องให้นมลูก ไม่ขอแนะนำให้ทานรสเผ็ด หรือควรเลี่ยงไปก่อน เนื่องจากความเผ็ดร้อนจะส่งไปถึงน้ำนมด้วย

ส่วนผสมในสูตรมีดังต่อไปนี้...
• ใบกะเพรา 1 ถ้วย

• ฟักทอง 1 ซีก

• เห็ดฟาง ½ ถ้วย

• กุ้งชีแฮ้ตัวเล็ก 1 ถ้วย

• พริกขี้หนู พอประมาณ

• น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

• น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

• เกลือป่น 1 ช้อนชา

• น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ

  ขั้นตอนในการทำ ฟักทองให้ปอกเปลือกก่อนล้างให้สะอาด นำไปหั่นเป็นชิ้นเล็กขนาดพอดีคำ เห็ดฟางล้างน้ำให้สะอาดแล้วผ่าครึ่ง ส่วนกุ้งให้แกะเปลือก ผ่าหลังพร้อมดึงเส้นดำออก จากนั้นตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืชลงไปรอจนร้อนจัดจึงใส่ฟักทองลงผัดพอสุก แล้วใส่กุ้งและเห็ดฟางตามลงไป ต่อด้วยพริกขี้หนูบุบ เคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลทราย และเกลือป่น ผัดจนสุกแล้วใส่ใบกะเพรา ผัดต่อพอให้ใบกะเพราสะดุ้งไฟ แล้วรีบตักขึ้นใส่จาน รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ

ทำง่ายๆ ไม่ยุ่งยากมากขั้นตอนอย่างนี้ หวังว่าคุณแม่ลูกอ่อนทั้งหลายจะนำสูตรนี้ไปลองผัดกะเพรารับประทานกันดู.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
▼▲ http://www.dailynews.co.th/
‘ผัดกะเพราฟักทอง’แม่ลูกอ่อนกินดี

ไส้อั่วสมุนไพร ยอดชาอ่อน เติมเต็มรส ด้วยโอสถสารฯ

ไส้อั่วสมุนไพร ยอดชาอ่อน เติมเต็มรส ด้วยโอสถสารฯ
นางแดง ศรีวิชา

หลายคนที่ขึ้นเหนือ ก่อนกลับนอกจากจะซื้อน้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ติดมือกลับมาแล้ว บางรายยังแถมด้วย “ไส้อั่ว” อาหารพื้นบ้านที่รู้จักกันดี แต่จะหาให้อร่อยรสติดลิ้นนั้น ค่อนข้างยาก!

ฉะนี้...เพื่อไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไกลแล้ว หลายๆคนยังสามารถฝึกฝนทำกินกันก่อน แล้วอนาคตอันใกล้ค่อยยึดทำเป็นอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ ในช่วงรัฐบาลใหม่ทีมงาน “ทำได้ ไม่จน” จึงนำสูตร “ไส้อั่วสมุนไพร ยอดชาอ่อน” มาฝากกัน

นางแดง ศรีวิชา เจ้าของสูตร “ไส้อั่วสมุนไพรแม่แดง” บอกกับทีมงานว่า...แม้ไส้อั่วเป็นอาหารตามวัฒนธรรมของเมืองเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย แพร่ น่าน ฯลฯ ก็จริง แต่ปัจจุบันเป็นที่รู้จักและนิยม “เปิบ” กันอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้จากอาหารพื้นบ้านกลายเป็นอาหารที่ขึ้น “ฮ้าน เฮือนอาหาร” หลายแห่งในภาคเหนือ ซึ่งสูตรนั้นก็แล้วแต่ของใครของมัน

ไส้อั่วสมุนไพร ยอดชาอ่อน

ไส้อั่วสมุนไพร ยอดชาอ่อน


....อย่างไส้อั่วสมุน ไพร ยอดชาอ่อนของแม่นี้ จะเป็นสูตรที่ทำกินกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่แล้วสั่งสอนต่อๆกันมา ซึ่งนอกจากอร่อยแล้วยังเต็มไปด้วยสมุนไพรไทย และที่แปลกสุดก็คือจะใส่ใบชาเขียวสดผสมลงไปด้วย...

สำหรับสูตรนั้นประกอบด้วย เนื้อหมู 1 กิโลฯ มันหมูชนิดแข็ง 5 ขีด ไส้หมูสด เลือกที่เป็นไส้แดง (ลำไส้ใหญ่) พริกแห้งเม็ดใหญ่ 10 เม็ด หอมแดง 3 หัว กระเทียม ปอก 10 กลีบ กะปิ 1 ช้อนชา เกลือ 1/3 ช้อนชา ตะไคร้ สับหรือปั่นให้ละเอียด 10 ต้น ใบมะกรูด หั่นฝอย 20 ใบ ต้นหอม ผักชี 10 ต้น ผักชีฝรั่ง 5 ต้น ใบชาเขียวสด (ชาอูหลง) หั่นฝอย 10 ใบ น้ำมะขาม



ส่วนขั้นตอนกรรมวิธีการปรุง นั้นแสนจะง่าย เริ่มจาก นำไส้หมูสดมาล้างทำความสะอาด จากนั้นให้กลับด้านเอาส่วนของด้านในลำไส้ออกมาด้านนอก แล้วนำไปคั้นกับมะขามเปียก เพื่อไม่ให้ไส้มีรสขม ซึ่งถือเป็นเคล็ดลับ แล้วล้างอีกครั้งก่อนกลับไส้ พักไว้ แล้วเตรียมเครื่องปรุงรส ที่เริ่มจากนำหมูแดงมาสับหรือบดให้ละเอียด มันหมูหั่นและสับเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมเข้าด้วย จะช่วยทำ ให้เนื้อสัมผัสมีความนุ่ม

...แล้วตำเครื่องพริกแกงให้ละเอียด จากนั้นเอาตะไคร้ที่สับละเอียด ใบมะกรูด ต้นหอมผักชี ผักชีฝรั่ง ใบชาเขียวสดหั่นฝอยมาผสมคลุกเคล้ากับหมูที่เตรียมไว้ให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำมายัดไส้หมูที่ล้างเตรียมไว้พอประมาณอย่าแน่นมาก เวลานำไปย่างจะทำให้ไม่แตก เสร็จแล้วใช้สีผสมอาหารสีส้มทาลงบนไส้ที่ยัดเครื่องปรุงเรียบร้อยเพื่อเพิ่มสีสัน นำไส้อั่วเข้าตู้อบเพื่อทำให้สุกและแห้ง ก่อนนำไปย่างบนเตาไฟอ่อนๆอีกครั้งจะช่วยเพิ่มความหอมของเครื่องปรุง...

ส่วนผสมต่างๆ

ส่วนผสมต่างๆ


เพียงเท่านี้ก็มีไส้อั่วสมุนไพร ยอดชาอ่อนพร้อมส่งขายให้กับลูกค้า สำหรับใครที่สนใจอยากได้สูตร เพื่อ นำมาประกอบเป็นอาชีพ กริ๊งกร๊างไปได้ที่ 08-4073-9088 และ 08-9403-2244 ในวันและเวลาที่เหมาะสม.

เพ็ญพิชญา  เตียว
ไส้อั่วสมุนไพร ยอดชาอ่อน เติมเต็มรส ด้วยโอสถสารฯ

http://www.thairath.co.th/column/eco/capable/184558

●● ปลาเห็ด เมืองสุพรรณ ●● จานเด็ด 76 จังหวัด

    หน้าตาเหมือนทอดมันนี้ คือเมนู "ปลาเห็ด" ของชาวสุพรรณบุรี

เสถียร ท้วมจันทร์ ข่าวสดสุพรรณบุรี พาไปดูวิธีการทำ

เริ่มแรกต้องหาปลาเล็กปลาน้อยที่มีในท้องถิ่นอย่างปลาสร้อย ปลาซ่า ปลาตะเพียนตัวเล็กๆ เน้นปลาสดๆ ดูปลาที่แววตาใสๆ

ขอดเกล็ด ควักไส้ ตัดหัวออก ล้างน้ำให้สะอาดก่อนหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โดยสับทั้งก้าง แล้วสับไปมาให้ละเอียด

จากนั้นตำเนื้อปลาในครกอีกครั้ง จะเป็นครกหินหรือครกดินเผาก็ได้เลือกเอาตามถนัด

ตำไปเรื่อยๆ จนเนื้อปลาเริ่มเหนียวจึงเริ่มใส่ส่วนผสม โดยใส่เครื่องแกง ไข่เป็ด (ถ้าชอบแบบฟูให้ใส่ไข่เป็ด ถ้าชอบแบบด้านๆ ไม่ต้องใส่) ถั่วพู หรือถั่วฝักยาวหั่นเล็กๆ ใบโหระพา และใบมะกรูดหั่นฝอย

คลุกเคล้าให้เข้ากันโดยการผสมน้ำปลาลงไปเล็กน้อยตามชอบ

จากนั้นปั้นเนื้อปลาเป็นแบนๆ ประมาณ 3 นิ้วมือแบบแผ่ๆ ต้องบางพอสมควรอย่าให้หนามากตรงกลางจะไม่สุก

ทอดด้วยน้ำมันพืชที่มีปริมาณครึ่งกระทะ ร้อนจัด

เมื่อใส่แผ่นปลาเห็ดลงไปแผ่นปลาเห็ดจะลอยขึ้นทันที กลับไปมาเรื่อยๆ จนพอเหลือง ตักขึ้นมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

เท่านี้เองก็กินได้ จะกินเป็นกับข้าว กับแกล้มหรือกินเล่นก็แล้วแต่ เป็นสูตรปลาเห็ดของชาวจังหวัดสุพรรณบุรี

●● ปลาเห็ด เมืองสุพรรณ ●● จานเด็ด 76 จังหวัด
▼▲ http://www.khaosod.co.th/

พุดดิ้งข้าวมอลต์..ซอสลูกพลับ ขนมรสชาติใหม่ท้าทายผู้บริโภค

พุดดิ้งข้าวมอลต์กับซอสลูกพลับ.

“พุดดิ้งข้าวมอลต์กับซอสลูกพลับ” หรือ Rice Pudding and Persimmon sauce เป็นเมนูใหม่ ล่าสุดที่เกิดจากไอเดียของ “น้องนี” นางสาวภัทราพิมพ์ แซ่อึ้ง นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาอุตสาหกรรมงานอาหาร คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ที่สามารถ การันตีความอร่อยด้วยรางวัลชนะเลิศ โครงการอาหารเพื่อสุขภาพจากผลิตภัณฑ์งานวิจัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประเภท อาหารหวานและขนมหวาน

น.ส.ภัทราพิมพ์ เล่าว่า “พุดดิ้งข้าวมอลต์กับ ซอสลูกพลับ” เกิดแนวคิดมาจากขนมไทยคือ สังขยา แล้วนำมาดัดแปลงเพื่อรับประทานคู่กับ ซอสลูกพลับ โดยตัว ของพุดดิ้งได้นำข้าวมอลต์ ตามโครงการวิจัยของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาใช้เป็นส่วนผสมหลัก สาเหตุที่เลือกข้าวมอลต์ เนื่องจากในข้าวมอลต์มี วิตามินบี 1 และ วิตามินบี 2 สูงกว่า เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับข้าวทั่วๆไป

ภัทราพิมพ์ แซ่อึ้ง

ภัทราพิมพ์ แซ่อึ้ง

สำหรับ ส่วนผสมของพุดดิ้ง ที่ต้อง เตรียมไว้ก่อนลงมือทำประกอบด้วย ข้าวมอลต์หุงสุก 40 กรัม ไข่ไก่ 10 กรัม (ชั่งน้ำหนัก) น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม กะทิ 10 กรัม ขนุนหั่นสี่เหลี่ยม 20 กรัม และ ใบเตย 10 กรัม ขั้นตอนการทำเริ่มจาก ตีไข่กับน้ำตาลปี๊บจนขึ้นฟู ใส่ใบเตยขยำลงไปด้วยกัน ใส่กะทิตีให้เข้ากัน แล้วจึงใส่ข้าว, ขนุน และ ส่วนผสมข้อในข้างต้นทั้งหมดลงไปในภาชนะ ก่อนจะนำไปนึ่งประมาณ 15 นาที...

น้องนี บอกอีกว่า ส่วนผสมของ ซอสลูกพลับ ประกอบด้วย ลูกพลับ 100 กรัม น้ำแอปเปิ้ล 90 กรัม ข้าว มอสต์สุก 40 กรัม ผงนัว (เบเกอรี่) 5 กรัม น้ำตาลทราย 20 กรัม และ น้ำมะนาว 12 กรัม วิธีการทำซอสลูกพลับนั้น เริ่มจากใส่น้ำแอปเปิ้ล, ลูกพลับ, ข้าวมอลต์สุก ลงเครื่องปั่นให้ละเอียด จาก นั้นเคี่ยวน้ำกับกระทะเทฟลอนใส่น้ำตาลทราย น้ำมะนาว และ ผงนัว (เบเกอรี่) คนให้ เข้ากัน ในลูกพลับมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยลดความดัน แก้ไข้และเจ็บคอ ปวดท้องประจำเดือน จากสูตรและอัตราที่กำหนดปริมาณไว้ข้างต้นนั้น สามารถเสิร์ฟได้ 4 ที่

วัตถุดิบ

วัตถุดิบ

ด้วยความเป็นสากลของชื่อ พุดดิ้ง... แต่รสชาติแบบไทยๆ สามารถนำผลผลิตที่คิดค้น โดย สาว มทร.ธัญบุรี มา เป็นส่วนผสมเพิ่มคุณค่าให้กับ อาหารทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ใส่ใจในสุขภาพ ในการปรับประยุกต์ใช้ ส่วนผสมต่างๆเข้าด้วยกัน เกิดเป็นเมนูใหม่ สร้างสรรค์อาหารไทยให้ต่างชาติได้รู้จัก รสชาติคงความเป็นไทย

น.ส.ภัทราพิมพ์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ให้เป็นที่รู้กันด้วยว่า...“รสชาติของอาหารจะอร่อยขึ้นอยู่กับ ผู้ปรุง ดังนั้น ควรใส่ใจลง ไปในอาหารแต่ละจานด้วย” และประสบการณ์ใน การแข่งขันตามเวทีก็สามารถ พัฒนาฝีมือได้ โดยนำผลงาน เข้าร่วมการแข่งขันตามเวทีต่างๆ เช่น แข่งขันการทำงาน THAILAND CHEFS COMPETITION 2010 แข่งขัน ประเภททีม ได้รับรางวัลเหรียญเงิน ในการแข่งขันการทำอาหารจากบัวของจังหวัดปทุมธานี ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2

ขั้นตอนการทำ

ขั้นตอนการทำ

พุดดิ้งข้าวมอลต์กับซอสลูกพลับ อาหารหวานที่มีกลิ่นอายของความเป็นไทย จากไอเดียของ “น้องนี” ...สามารถนำไปสร้างอาชีพในยุคข้าวยากหมากแพงนี้... ซึ่งอาจจะทำแล้วรวยก็ได้...สนใจข้อมูลเพิ่มเติมกริ๊งกร๊างหาน้องนี 08-9524-0059 เวลากลางวันสะดวกที่สุด.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน
http://www.thairath.co.th/column/eco/capable/182875

กล้วยทอด "กระทะทอง" จิ้มนม คิวยาว คอย...จนเป็นลม!

"...บางวันร้านยังไม่เปิด ลูกค้าทำบัตรคิวกันเองเลย พอผมจอดรถปุ๊บ ไม่ต้องแจกบัตรคิว ลูกค้าเขามีบัตรคิวกันเอง แบบว่ากระทะแรกยังไม่ขึ้น คิวถึงที่ร้อยกว่าแล้ว"



ได้รับการยอมรับให้ขึ้นแท่นเป็น "ของดี ของดัง "ประจำเมืองท่องเที่ยวสุดฮิต อย่าง "หัวหิน" ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ "กล้วยทอดกระทะทอง จิ้มนม" ของสามีภริยา คู่ขยันอย่าง "คุณต็อบ กับ คุณเจี๊ยบ" เพราะทุกวันที่เปิดขาย จะมีลูกค้าประจำมาอุดหนุนกัน "เพียบ" ทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ

และหลังจากรับเชิญให้เป็นแขกระดับ "วีไอพี" ของรายการโทรทัศน์ทางช่องโมเดิร์นไนน์แล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะอิทธิพลจากสื่อนั้น สามารถจูงใจและทำให้มีผู้คนหลั่งไหลมาเข้าคิว เพื่อลองชิมกันเป็นทิวแถวยาวกว่าเก่าเข้าไปอีก

กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ มีเหตุการณ์ลูกค้าสาววัยรุ่นรายหนึ่งถึงกับ "เป็นลม" ล้มพับคาคิวมาแล้ว เนื่องจากต้องอดทนยืนคอยซื้อเป็นเวลานาน...หลายชั่วโมง



พ่อ-แม่ แนะทอดขาย

ปรับสูตรจนถูกปาก

แม้จะออกตัวก่อนไม่ค่อยอยากให้สัมภาษณ์สื่อสักเท่าไหร่ เพราะเขาเข้าใจว่า "กล้วยทอดจิ้มนม" สินค้าที่สร้างรายได้ให้เป็นกอบกำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้อร่อยเลิศเลอไปกว่าเจ้าอื่น เพียงแต่อาจจะขายดีบ้างในบางวาระก็เท่านั้น

แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอด้วยเหตุผล อยากขอนำแง่มุมของ "ความเหน็ดเหนื่อย" ที่กว่าจะฝ่าฟันมาจนถึงวันนี้ มานำเสนอใน "เส้นทางเศรษฐี" เผื่อจะเป็นกำลังใจหรือแนวทางให้คนมีอาชีพอิสระทั้งหลาย พิจารณาเป็นแบบอย่างได้บ้างไม่มากก็น้อย

คุณชัยทัต เถาลิโป้ หรือ คุณต๊อบ เจ้าของกิจการ "กล้วยทอดกระทะทอง" จิ้มนม เจ้าดังแห่งเมืองหัวหิน จึงยินดีกรุณาสละเวลาทำมาหากิน มาให้ข้อมูลด้วยความเต็มใจ โดยเริ่มต้นให้ฟังว่า ความจริงแล้ว "กล้วยทอดจิ้มนมข้นหวาน" นั้น เป็นอาหารว่างของคนท้องถิ่นแถบหัวหินยันปากน้ำปราณ มานานนมแล้ว ไม่ใช่สูตรแปลกที่เขาคิดค้นขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด แต่สำหรับนักท่องเที่ยวจากพื้นที่อื่น อย่าง "คนกรุงเทพฯ" คงไม่คุ้นเคย จึงอาจตื่นตาตื่นใจบ้างเป็นธรรมดา

ย้อนถึงที่มาของสินค้าให้เข้าใจตรงกันแล้ว คุณต๊อบจึงแนะนำตัวด้วยการเล่าประวัติให้ฟังคร่าวๆ ว่า ปัจจุบันอายุ 30 ปี พื้นเพเป็นคนปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลังเรียนจบ ได้ช่วยงานในร้านอาหาร "ครัวแจ๋ว" ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว ตั้งอยู่ริมทะเลปากน้ำปราณ บ้านเกิดของเขานั่นเอง

จากนั้นไม่นาน พบรักกับ คุณจงกล โตส้ม หรือ คุณเจี๊ยบ จึงพาเข้าบ้านให้มาช่วยกิจการอีกแรงหนึ่ง และคิดขยับขยายอยากขายสินค้าในแบบของตัวเอง เริ่มต้นด้วยการทำน้ำผลไม้ปั่นและผลไม้จาน ขายในร้าน "ครัวแจ๋ว" ซึ่งทำรายได้ดี จนมีเอเย่นต์ขนมหวานแช่แข็ง มาติดต่อขอลงสินค้าเลยตัดสินใจรับไว้จำหน่ายต่อ

ขายดีอยู่พักเดียว เกิดปัญหา "ของขาด" เนื่องจากเอเย่นต์ส่งสินค้าให้ไม่สม่ำเสมอ คุณต๊อบกับคุณเจี๊ยบจึงตกลงกันทำขนมไทย อย่าง บัวลอยเผือก บัวลอยฟักทอง ออกขายเอง ปรากฏลูกค้าตอบรับดีมาก เลยคิด "แตกไลน์" สินค้า มาเป็นกล้วยทอด-จิ้มนม เนื่องจากเป็นของว่างที่คุณพ่อ-คุณแม่ของคุณต๊อบ โปรดปราน ประกอบกับคุณเจี๊ยบ แฟนสาวของเขา มีสูตรกล้วยทอดเป็นต้นทุนอยู่แล้ว

"คุณแม่อยากทานกล้วยทอด เลยลองทำให้ชิม ปรากฏทั้งคุณพ่อ-คุณแม่ แนะนำให้ทำขาย เพราะไหนๆ ทำขนมหวานขายอยู่แล้ว ปรากฏช่วงแรกขายได้แค่วันละ 80 บาท จึงเลิกไปพักหนึ่ง ก่อนกลับมาขายใหม่ คราวนี้มีการปรับปรุงสูตร เพิ่มส่วนผสม พวกถั่ว-งา ลงไปในแป้ง ทำให้รสชาติดีขึ้น" คุณต๊อบ ย้อนให้ฟังถึงจุดเริ่มต้น



ข้ามจังหวัดมาซื้อ

ขยับขยายสาขาสอง

คุณต๊อบ เล่าต่อว่า การกลับมาขาย "กล้วยทอดจิ้มนม" เป็นครั้งที่ 2 ที่หน้าร้าน "ครัวแจ๋ว" ปากน้ำปราณ เปิดขายทุกวัน เพราะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลักคือ ลูกค้าในท้องถิ่น เวลาผ่านไปได้ราว 2 ปีเศษ ความต้องการซื้อมีเพิ่มขึ้นทุกวัน และหลายครั้งมีลูกค้าจากต่างถิ่นไกลๆ อย่าง ชะอำ หัวหิน ขี่จักรยานยนต์มาซื้อ ทำให้เขารู้สึก "อึ้ง" ปน "ประทับใจ" อย่างมาก จนอยากไปเปิดขายที่หัวหิน อีกสาขาหนึ่ง

เมื่อคิดจะขยายสาขาไปหาทำเลขายที่น่าจะดีกว่า คุณต๊อบจึงลงทุนด้วยเงินสดราว 35,000 บาท ดาวน์รถ "กะป๊อ" เพื่อบรรทุกอุปกรณ์ค้าขายกล้วยทอด เดินทางจากปากน้ำปราณไปยังหัวหิน กินระยะทางไปกลับประมาณ 30 กิโลเมตรทุกวัน

"ตอนแรกไปจอดขายใกล้กับทางรถไฟ เพราะเห็นคนเยอะ แต่ขายทั้งวันได้ 200 บาท โดนหักค่าที่ไป 180 บาท เหลือเงินกลับบ้าน 20 บาท ขายอยู่ประมาณสัปดาห์กว่าๆ คิดว่าไม่ไหวแน่ เลยย้าย" คุณต๊อบ เล่าประสบการณ์เมื่อครั้งนั้น ก่อนวิเคราะห์ ทำเลแรกนี้มีคนสัญจรไปมาเยอะอยู่จริง แต่ไม่มีใครซื้อกล้วยทอดของเขา เพราะจอดรถซื้อไม่ได้

ตระเวนหาทำเลใหม่อยู่ไม่นาน มาพบถนนแนบเคหาสน์ ซึ่งในช่วงเวลานั้น ยังโล่งๆ ไม่มีร้านค้ามากมายเหมือนปัจจุบัน เจ้าของกิจการคนขยันผู้นี้ จึงเล็งพื้นที่ริมถนนใกล้ป่าละเมาะข้างทาง ใช้เป็นที่ตั้งกระทะทอดกล้วยนับแต่นั้นมา

"ตั้งร้านขายกล้วยทอดตรงทำเลนี้มีปัญหากับทางเจ้าหน้าที่เทศกิจบ้าง เพราะแม้จะขายบนฟุตปาธที่ไม่มีคนเดินก็จริง แต่มันเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่ผ่านมามักมีคนถามว่าทำไมไม่ไปเปิดร้านในตึกให้เป็นเรื่องเป็นราว ผมให้เหตุผลว่าเราโตจากตรงนี้ โตมาจากร้านข้างทาง ก็อยากอยู่ตรงนี้ต่อ" คุณต๊อบ ว่าอย่างนั้น ก่อนบอก ทุกวันหลังเลิกร้าน ตัวเขา ภรรยา และลูกน้อง จะช่วยกันนำน้ำและผงซักฟอกมาขัดล้างฟุตปาธ ให้สะอาดอยู่ตลอด

เมื่อได้ทำเลขายที่ดีขึ้น ลูกค้าสามารถจอดรถซื้อได้สะดวก ผนวกกับรสชาติถูกใจ บอกผ่านไปกันแบบ "ปากต่อปาก" ทำให้ความนิยมในกล้วยทอดกระทะทอง-จิ้มนม เจ้านี้ มีเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นั้น เป็นที่รู้กันของคนหัวหินว่า ถนนแนบเคหาสน์ รถมักติดยาวเหยียด เพราะคนมาคอยซื้อกล้วยทอด จนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องมาคอยอำนวยความสะดวกให้



เผยเคล็ดอร่อย

งานเหนื่อยแต่คุ้ม

สนทนามาถึงตรงนี้แย้มถามถึงเคล็ดลับความอร่อย คุณต๊อบหยุดคิดครู่ใหญ่ ก่อนบอก คงมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน เริ่มตั้งแต่ กล้วยที่ใช้ต้องเป็นกล้วยน้ำว้าไส้เหลืองที่ "แก่จัด" สุกเองตามธรรมชาติ ไม่ผ่านการบ่มแก๊ส เพราะหากเป็นกล้วยไส้ขาวหรือกล้วยบ่มแก๊ส ทอดไปแล้วกล้วยจะฝาดปาก ไม่หวานอร่อย นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคเกี่ยวกับการหมักแป้ง การทอด การตัก การพักกล้วยก่อนหยิบใส่ถุง เป็นต้น

"การกะไฟที่ใช้ในการทอดก็สำคัญ เช่น ไฟแรงไป น้ำมันร้อนไป สีกล้วยอาจเข้มไม่น่าทาน แต่ถ้าไฟอ่อนไป กล้วยสุกยาก สุกช้า อาจพาอมน้ำมันเข้าไปอีก หรือแค่เรื่องง่ายๆ อย่างเวลาตักกล้วยจากกระทะที่ต้องใช้กระชอนตักขึ้นมา แล้วยกไปคว่ำที่พักกล้วย ถ้าไม่รู้เทคนิค สามารถทำให้กล้วยอมน้ำมันได้ ฉะนั้น เวลาตักขึ้นมาไม่ใช่คว่ำเลย ต้องกระจายกล้วยด้วย จะได้ไม่อมน้ำมัน จุดเล็กๆ เหล่านี้แหละ ที่ต้องใส่ใจตลอด" คุณต๊อบ เผยเทคนิคส่วนตัว

เมื่อถามถึงการตอบรับจากลูกค้าที่ร่ำลือกันว่า ต้องมีการมา "เข้าคิว" รอกันแทบทุกวัน คุณต๊อบยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบแบบถ่อมตัวว่า อาจเป็นเพราะกระแสจากสื่อด้วยส่วนหนึ่ง แต่ก่อนหน้าที่จะได้ออกรายการโทรทัศน์ กล้วยทอด-จิ้มนม ของเขาก็เป็นที่นิยมของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้งคนหนุ่มสาว นักท่องเที่ยวชาวไทย-ต่างชาติ มีทั้งขับรถเฟอร์รารี่และขี่จักรยานมาซื้อหาไปรับประทานกัน

"เมื่อก่อนใช้เตาทอด 2 เตา ตอนนี้เพิ่มเป็น 3 เตา ก็ยังทอดไม่ค่อยทัน บางวันร้านยังไม่เปิด ลูกค้าทำบัตรคิวกันเองเลย พอผมจอดรถปุ๊บ ไม่ต้องแจกบัตรคิว ลูกค้าเขามีบัตรคิวกันเอง แบบว่ากระทะแรกยังไม่ขึ้น คิวถึงที่ร้อยกว่าแล้ว" คุณต๊อบ เล่าให้ฟัง ก่อนบอก เมื่อไม่นานมานี้ มีลูกค้าร้านที่หัวหินถึงกับเป็นลมล้มพับ อาจด้วยเพราะอากาศร้อนประกอบกับต้องยืนคอยซื้อนานกว่า 2 ชั่วโมง

"ทอดกล้วยกระทะหนึ่งใช้เวลาทอดไม่เกิน 15 นาที แต่พอเอาขึ้นมาแล้วยังหยิบใส่ถุงเลยไม่ได้ ต้องรอให้เย็นลงนิดหนึ่งก่อน ไม่งั้นกล้วยจะนิ่ม และลูกค้าส่วนใหญ่มาซื้อกันคนละหลายสิบถุง ทำให้กว่าจะผ่านแต่ละคิวได้มันนาน ช่วงเทศกาล เลยขึ้นป้ายว่า ให้ซื้อได้แค่ 100 บาท ต่อ 1 คิวต่อคน อาจจะถูกต่อว่าบ้างว่าซื้อยากซื้อเย็น ก็ต้องยอม เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ จะบริการลูกค้าได้ไม่ทั่วถึง" คุณต๊อบ เล่าให้ฟัง

นึกสงสัยลูกค้ายืนยังเป็นลม แล้วคนขายที่ต้องยืนทอดหน้าเตาร้อนๆ จะมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง คุณต๊อบหัวเราะหึๆ พร้อมอวดร่องรอยบวมปูดที่บริเวณหัวเข่า ก่อนเล่า เพราะยืนทอดกล้วยเป็นเวลานาน พอขยับตัว รู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวเข่า และบวมปูดขึ้นมา พอไปตรวจ หมอบอก ลูกสะบ้าหัวเข่าหลุด ต้องหยุดพักรักษาตัว เดินไม่ได้นานเกือบ 2 เดือน

ส่วนคุณเจี๊ยบ ภรรยาสาวของเขา เคยเกิดอาการนิ้วล็อค เพราะคีบกล้วยลงไปชุบแป้ง จำนวนมากและนานเกินไป แต่พอให้หมอฉีดยา กลับมาวันรุ่งขึ้น ทั้งเขาและเธอก็ลุยขายต่อ

"เหนื่อยครับ แต่รายรับคุ้มเหนื่อย ตอนนี้เก็บเงินซื้อรถเก๋งได้แล้ว และกำลังรอซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้าน เป็นสมบัติพวกที่มาจากน้ำพักน้ำแรงกล้วยทอด นั่นแหละครับ"

คุณต๊อบ จบบทสนทนา...ด้วยรอยยิ้มภูมิใจ



กล้วยทอด สูตร "เงินล้าน"

ซื้อเท่าไหร่ ก็ไม่ขาย

ตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ คุณต๊อบ เล่าว่า หลังจากเปิดร้านขาย "กล้วยทอด-จิ้นนม" รอบสอง ตามสูตรที่ปรับปรุงใหม่ ที่ปากน้ำปราณ ได้ไม่นาน ช่วงที่ลูกค้าเริ่มเข้ามาอุดหนุนกันมากขึ้นนั้น มีคนเข้ามาติดต่อขอซื้อ "สูตร" การทำกล้วยทอด ตามแบบของเขาหลายรายด้วยกัน

ประเดิมรายแรก เป็นคนงานก่อสร้าง ซึ่งเคยเดินมาซื้อรับประทานทุกวัน อยู่มาวันหนึ่ง กำเงินสดมา 20,000 กว่าบาท ก่อนบอกขอซื้อสูตรได้มั้ย จะเอาไปทำขายบ้าง แต่คุณต๊อบไม่ได้คิดจะขายสูตรตั้งแต่แรกจึงไม่ทราบจะขายให้ยังไง

ต่อมาเป็นลูกค้าจากจังหวัดพะเยา คราวนี้หอบเงินสด 1 ล้านบาท พร้อมออกปากขอซื้อสูตร โดยเจรจากับคุณพ่อ-คุณแม่ แต่คุณต๊อบบอกปฏิเสธไป โดยให้เหตุผล ไม่มีความคิดจะขายสูตรให้ใคร

ถัดจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งต่างชาติกับภรรยาคนไทย มาติดต่อขอซื้อสูตร บอกยอมจ่ายให้ราว 2 ล้านบาท เพราะต้องการนำไปขายต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ก็ได้รับการปฏิเสธเหมือนรายอื่น

กระทั่งเมื่อปีที่แล้ว มีตัวแทนบริษัทแห่งหนึ่ง มาติดต่อขอซื้อสูตรกล้วยทอดกระทะทอง-จิ้มนม โดยตั้งราคาไว้ที่ 2,500,000 บาท บอกจะนำไปขยายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ แต่คำตอบสุดท้าย ยังเหมือนเดิม

"ซื้อเท่าไหร่ ก็ไม่ขาย"



ข้อมูลจำเพาะ

กิจการ ขายกล้วยทอด มันทอด-จิ้มนม

ชื่อกิจการ กล้วยทอดกระทะทอง

ลักษณะกิจการ เจ้าของคนเดียว

ชื่อเจ้าของกิจการ คุณชัยทัต เถาลิโป้, คุณจงกล โตส้ม (คุณต๊อบ, คุณเจี๊ยบ)

เงินลงทุน หลักหมื่นบาท

รูปแบบการขาย ขายหน้าร้านทุกวัน ตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00-16.00 น. ไม่รับออกงาน ช่วงเทศกาลจำกัดขายให้ 100 บาท ต่อ 1 คิว 1 คน

ราคาขาย กล้วยทอด 6 ชิ้น 10 บาท

แรงงาน 5-7 คน

แหล่งซื้อวัตถุดิบ เพชรบุรี, เชียงใหม่, ป่าละอู, สามร้อยยอด

สถานที่ตั้ง สาขา 1 หน้าร้าน "ครัวแจ๋ว" ปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี

สาขา 2 ซอยหัวหิน 51 ถนนแนบเคหาสน์ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

โทรศัพท์ติดต่อ สาขา 1 (083) 855-1942 สาขา 2 (083) 220-6886

สลัดกุ้งเนืองเซี่ยงไฮ้กับผักริมรั้ว

ปิดท้ายมื้อเย็นด้วย สลัดซึ่งได้ไอเดียมาจากการรับประทานแหนมเนือง ซึ่งสูตรนี้ปรับเปลี่ยนส่วนของเนื้อมาใช้กุ้งแชบ้วยแทน ก่อนนำไปย่างจนหอมแล้วตัดเป็นชิ้นคลุกเคล้ากับผักผลไม้ริมรั้ว เช่น กล้วยดิบ ช่วยสมานลำไส้ โดยแนะให้ใส่แต่น้อยเพื่อป้องกันอาการท้องอืด ผักแพวกลิ่นหอมช่วยขับลม แถมยังมีเบต้าแคโรทีนสูง มะเฟืองช่วยขับปัสสาวะ เป็นต้น เพิ่มความอร่อยด้วยเซี่ยงไฮ้ลวกเนื้อหนึบ เพิ่มมิติให้กับการรับประทานมากขึ้น

◐◑ ส่วนผสม (สำหรับ 2-3 ที่)
เตรียม 1 ชั่วโมง (รวมเวลาเคี่ยวน้ำซุป) ปรุง 45 นาที (รวมเวลาหุงข้าว)
ส่วนผสมกุ้งเนือง (10 ไม้)

-กุ้งแชบ้วยทะเล 200 กรัม
-มันหมูบด 100 กรัม
-แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
-หอมแดง 20 กรัม
-เกลือ 1 ช้อนชา
-พริกไทยดำป่น 1/2 ช้อนชา
-กระเทียมกลีบเล็กปอกเปลือก 10 กลีบ
-เส้นเซี่ยงไฮ้ต้มสุก 1 ถ้วย
-ผักแนมอาทิ กระเทียมปอกเปลือก กล้วยดิบ มะเฟืองเปรี้ยว, พริกขี้หนู, แตงกวา,
-ใบชะมวง ใบบัวบก ผักแพว ใบสะระแหน่ ฯลฯ ตามชอบ
-ต้นตะไคร้สำหรับย่างกุ้งเนือง

วิธีทำ

1.นำกุ้งและมันหมูบดแช่เย็นไว้ครึ่งชั่วโมง ก่อนนำมาปั่นให้ละเอียด กับหอมแดง เกลือ พริกไทยดำ ด้วยเครื่องปั่น โดยใช้ความเร็วสูงตีให้ละเอียด

2.นำส่วนผสมที่ละเอียดแล้วแช่เย็นไว้ครึ่งชั่วโมง จึงนำออกมาปั้นหุ้มต้นตะไคร้แล้วนำไปย่างไฟอ่อนๆ ให้สุกทั่วถึงกัน จึงนำไปหั่นและจัดใส่จานพร้อมกับเครื่องสลัดต่าง ๆ ก่อนราดด้วยน้ำสลัด คลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนรับประทาน

◐◑ ส่วนผสมน้ำสลัดส่วน 1

-ข้าวเหนียวดิบ 1/4 ถ้วย
-ถั่วทองคั่วต้มให้นิ่มตำให้ละเอียด 1/4 ถ้วย
-น้ำตาลทราย 50 กรัม
-เต้าเจี้ยวอย่างดี 3 ช้อนโต๊ะ
-น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย
-น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
-เกลือ 2 ช้อนชา
-ถั่วลิสงบด 1 ช้อนโต๊ะ
-ตับไก่สด 2 ชิ้น
-น้ำเปล่า 1 1/2 ถ้วย

◐◑ ส่วนผสมน้ำสลัดส่วน 2

-พริกชี้ฟ้าแดง 3 เม็ด
-พริกชี้ฟ้าเหลือง 2 เม็ด
-น้ำส้มสายชู ¼ ถ้วย
-กระเทียมกลีบใหญ่ปอกเปลือก 5 กลีบ
-น้ำเปล่า ¼ ถ้วย
-เกลือ ½ ช้อนชา
-น้ำตาลทรายเล็กน้อย

●● วิธีทำ

1.ทำน้ำจิ้มส่วน 1 โดย ต้มข้าวเหนียวดิบกับถั่วทองคั่วรวมกันจนสุกนิ่ม

2.ปั่นส่วนผสมในข้อ 1 กับ เต้าเจี้ยว น้ำตาลทราย น้ำมะขามเปียก ตับไก่ แล้วปั่นให้ละเอียด เทส่วนผสมใส่หม้อ เติมน้ำแล้วต้มด้วยไฟกลางจนเดือดปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ เกลือ ปิดไฟพักไว้

3.ทำน้ำจิ้มส่วนสอง โดยปั่นส่วนผสมทุกอย่างรวมกันแล้วนำไปต้มแค่พอเดือด เปิดไฟ

4.ตักน้ำจิ้มส่วน 1 ใส่ถ้วย โรยด้วยถั่วลิสง หากชอบเผ็ดให้ใส่น้ำจิ้มส่วนสองลงไปผสมตามชอบ พร้อมเสิร์ฟกับสลัดกุ้งเนือง


Credit : Health & Cuisine ปีที่ : 11 ฉบับที่ : 125 เดือน : มิถุนายน 2554

“บุญมีขนมจีน” หรือ “ขนมจีนแม่บุญมี” หรือ “ร้านขนมจีนบุญมี”

เล่นเส้น เล่นสี "บุญมีขนมจีน" น้ำยาเติมฟรีไม่มีอั้น

หล่มเก่าขึ้นชื่อเรื่องขนมจีนน้ำยา ถ้ามาแล้วไม่ได้หม่ำคลำทางออกจากจังหวัดเพชรบูรณ์ไม่ถูก (ฮา) ทั้งอำเภอมีร้านขนมจีนอยู่มากมายขับรถไปชิมไปหาร้านถูกใจได้ตามสะดวก แต่ถ้าใครไม่อยากเสียเวลาขับวนหาให้เปลืองน้ำมัน เจ๊แซบขอแนะนำ “ร้านบุญมีขนมจีน” ร้านเด็ดร้านดังที่คนในพื้นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี โซ้ยกันมาตั้งแต่หาบขายจนตอนนี้ขยายร้านใหญ่โตก็ยังโซ้ยกันต่อไป นอกจากเจ๊แซบจะติดอกติดใจในความเหนียว นุ่มของเส้นขนมจีนและความเข้มข้นของน้ำยารีฟิล (refill) เติมได้ไม่มีหยุด เจ๊แซบยังแอบประทับใจในความหน้าใสของ “คุณพี่บุญมี” เจ้าของร้าน ขนาดเด็กในร้านเรียก “ป้า” แต่คุณพี่ก็ยังหน้าใสมั่กๆ!!

“เปิดมา 14 ปีแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ทำต้นไม้ขายมาก่อน พอเงินบาทลอยตัวก็ขายไม่ดี ก็เลยเปลี่ยนมาขายขนมจีนแทน แต่ว่าก่อนหน้านี้ก็คือหาบขายมาก่อนอยู่แล้ว ก็เลยเปลี่ยนจากหาบเร่ขายมาเปิดร้านค่ะ ร้านก็อยู่ตรงนี้มาตลอด ตอนแรกก็ไม่ได้มีโต๊ะเยอะขนาดนี้ มีแค่ 4 โต๊ะเอง แล้วตอนหลังก็ค่อยๆ ขยับขยาย สูตรที่ทำก็เป็นสูตรของที่บ้านทำทานกันอยู่แล้ว” ขนมจีนร้านนี้นอกจากเส้นจะเล็กไม่เหมือนใคร ยังมีสีสันสดใส คุณพี่บุญมีใช้ผักผลไม้และดอกไม้ที่ปลูกเองในสวนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ “ที่ทำขนมจีนหลายๆสีก็เพราะเรามีต้นไม้ที่เราปลูกเองที่นี่ เพราะเราเคยทำสวนมาก่อน เราก็เลยคิดว่าเอาที่เราปลูกมาทำสีให้ขนมจีนดีกว่า ทำมาแล้วลูกค้าก็ชอบ เราก็ทำเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนตอนนี้มี 7 สีแล้วค่ะ”




นํ้ายากะทิ นํ้ายาป่า และนํ้าพริก แซบโดนใจขาโซ้ย



มหกรรมแห่งการใส่สีลงในเส้นขนมจีนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องใช้ความใจเย็นเป็นที่ตั้ง ทั้ง 7 สี มีที่มาต่างกัน สีขาวเป็นขนมจีนธรรมดา คล้ำขึ้นมาหน่อยเป็นขนมจีนข้าวกล้อง สีเหลืองมาจากฟักทอง สีม่วงดอกอัญชัน สีชมพูอ่อนจากแก้วมังกร สีส้มจากแครอทผสมน้ำแตงโม และสีเขียวจากใบเตย

ก่อนจะเริ่มเติมสีลงไปในขนมจีน คุณพี่บุญมีต้องทำแป้งขนมจีนโดยใช้ข้าวเจ้าคัดเม็ดที่ไม่เต็มดี เลือกที่หักเป็นท่อนๆแช่น้ำ และหมักทิ้งไว้ 3 วัน จนแป้งเน่า ก่อนจะนำมากรองเอาน้ำออก ทยอยเทลงไปในเครื่องนวด เมื่อเม็ดข้าวถูกนวดจนกลายเป็นแป้งค่อยนำมาใส่ในถุงข้าววางพักไว้อีก 2 คืน จนแป้งแห้งและแข็งเป็นก้อน จึงนำมาต้มในน้ำเดือดประมาณ 20 นาที พอแป้งสุกกำลังดี ตักขึ้นจากหม้อรอนำไปนวดกับส่วนผสมอื่นๆต่อไป... เจ๊แซบฟังแล้วเหนื่อยใจ แค่ทำแป้งยังไม่เริ่มใส่สีก็ปาเข้า ไป 5 วัน นับถือในความขยันอย่างแรง!!!




ขนมจีนเส้นสด...กดเอง



แป้งที่ถูกตักขึ้นมาจากหม้อ จะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ สำหรับทำสีต่างๆ ถ้าเป็นขนมจีนธรรมดาแค่นวดให้ได้ที่แล้วใส่เครื่องกดทำเส้นขนมจีน เป็นอันสำมะเร็จ เสร็จสิ้น

สำหรับขนมจีนข้าวกล้อง ต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำ แล้วทำทุกขั้นตอนเหมือนแป้งขนมจีน แล้วนำทั้งสองแป้งมานวดรวมกัน ก่อนจะนำไปกด นอกจากรสชาติดีแล้วยังมีประโยชน์อีกต่างหาก





อีก 5 สีที่เหลือ คุณพี่บุญมีต้องนำดอกอัญชัน ใบเตย แครอท และแตงโม ไปแยกปั่นและกรองเอาแต่น้ำมานวดกับแป้งขนมจีนที่เตรียมไว้ แล้วจึงนำไปกดเส้น แต่สำหรับสีเหลืองจะประหลาดกว่าสีอื่นเล็กน้อยเพราะต้องนำฟักทองไปนึ่งให้สุกแล้วนวดเนื้อฟักทองเข้ากับแป้งจนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว คนที่ไม่หม่ำฟักทองไม่ต้องกังวล เจ๊แซบการันตีไม่มีกลิ่นไม่มีรสชาติฟักทองมากวนใจ





ขนมจีนร้านนี้จะขายเป็นชุด ในชุดมีขนมจีน 1 จาน หนึ่งจานมีขนมจีนม้วนเป็นก้อนๆพอดีหม่ำจำนวน 10 ก้อนคละมาครบ 7 สี พร้อมกับน้ำยา 3 หม้อ มีน้ำยากะทิ รสนุ่มละมุนละไม ใช้เนื้อปลาทับทิมคั่วกับเครื่องแกงที่ทางร้านทำเอง รสกลมกล่อมกำลังดี เร่งดีกรีขึ้นอีกนิดกับ น้ำยาป่า รสเข้ม แซมด้วยกลิ่นปลาร้าอ่อนๆ ราดชุ่มๆ โซ้ยกับผักสดๆ และไข่ต้มอร่อยขาดใจ ปิดท้ายด้วย น้ำพริก รสเปรี้ยวอมหวานกำลังดี ใส่พริกคั่วลงไปสักนิด เติมน้ำปลาอีกหน่อยอร่อยจนไม่อยากกลับบ้าน (หุหุ) แถมท้ายด้วยผักสารพัดชนิดทั้ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วฝักยาว สะระแหน่ ผักชีลาว ใบแมงลัก ใบสนิว ใบพลูคาว และยอดผักแพว ผักทุกชนิดไม่ได้ใช้สารเคมีเพราะพี่บุญมีปลูกเองอยู่รอบบ้าน โซ้ยได้สบายใจ ทั้งน้ำยาและผักเติมได้ไม่มีอั้น “เราให้อย่างนี้ตลอดค่ะ ถ้าน้ำยาหมด ผักหมดเราก็เติมให้ฟรีไม่คิดตังค์เพิ่มค่ะ คิดแต่ขนมจีนอย่างเดียว ผักร้านเราเยอะ เป็นผักพื้นบ้านทั้งนั้น เราปลูกเอง สด ใหม่ และอร่อยด้วยหอมลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบค่ะ”

 



นักโซ้ยที่นิยมความหลากหลาย คุณพี่บุญมีจัดของทานเล่นไว้เป็นเครื่องเคียงมากมายมีทั้งไส้อั่วไส้กรอกสมุนไพรไข่ต้มลูกชิ้นปิ้ง ลูกชิ้นปลาลวก หมูย่าง และอีกสารพัดสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูกาล ของทานเล่นไม่รวมอยู่ในชุดขนมจีน กินเท่าไหร่ จ่ายเท่านั้น

“บุญมีขนมจีน” หรือ “ขนมจีนแม่บุญมี” หรือ “ร้านขนมจีนบุญมี” คือ ร้านเดียวกัน เรียกสลับกันไปมาบางคนอาจจะงง ให้สังเกตถ้าเห็นรูปพี่บุญมีหน้าใสติดอยู่ตามเสาเข้าไปนั่งหม่ำได้ไม่ผิดร้าน (ฮา)





ตัวร้านตั้งอยู่ในอำเภอหล่มเก่า อยู่ไม่ไกลจากอำเภอหล่มสักมากนัก ประมาณ 5 กิโลเมตร เส้นทางที่ไปถนนหล่มสัก–เลย ร้านนี้อยู่ตรงข้ามกับ อบต.นาแซง อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ หรือเยื้องๆกับโรงเรียนหล่มเก่าพิทยาคม มี ป้ายบอกชัดเจน หรือโทร.ถามทางได้ที่เบอร์ 08–9643–2775, 0–5670–9274 ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น

ก่อนจบก่อนจากเจ๊แซบฝากกระซิบถึงสมาชิกชมรมคนเลิฟปลาร้า คุณพี่บุญมีใจดีมีน้ำปลาร้ารสแจ่มไว้คอยบริการ ถ้าอยากทานบอกเด็กในร้านได้เลยคร้า...
...............
CR:Thairat

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

จุดเด่นเพื่อสร้างความแตกต่าง :::โดดเด่นบนผิวกาแฟ : :ที่ทำให้คนเราตกหลุมรัก "กาแฟ

โดย : ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี



กลิ่นหอมละมุน และรสชาติกลมกล่อมที่ช่วยเติมความกระปรี้กระเปร่าให้กับชีวิตดูจะเป็นเสน่ห์ง่ายๆ ที่ทำให้คนเราตกหลุมรัก "กาแฟ
ไม่ว่าจะเป็นถ้วยกระดาษทรงสูงห่อด้วยกระดาษทิชชู่ในมือ เคียงคู่เอกสารกองโต หรือในแก้วเซรามิกลายสวย ริมชายป่าเชิงดอย เครื่องดื่มชนิดนี้มักเข้าไปเกี่ยวดองเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเราเสมอ อีกทั้งยังเป็นที่รู้กันในหมู่คอกาแฟว่า กาแฟจะอร่อยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเมล็ดกาแฟพันธุ์ เครื่องบด เครื่องชงมีคุณภาพ และฝีมือการชงกาแฟนั่นเอง

เทรนด์กาแฟที่โชยกลิ่นมาในช่วงหลายปีทำให้บรรดาแบรนด์ทั้งหลายพยายาม "ปั้น" จุดเด่นเพื่อสร้างความแตกต่าง และดึงดูดนักดื่มให้แปลกใจเล่นอยู่เสมอ กับฝีไม้ลายมือการชงกาแฟของเหล่าคนชงกาแฟ หรือ "บาริสต้า"




บาริสต้า (Barista) ตามความหมายของคำศัพท์ในภาษาอิตาลี หมายถึง บาร์แมน (Barman) หรือคนทำเครื่องดื่มในบาร์ เช่นเดียวกับ บาร์เทนเดอร์ ซึ่งเหล่านักชงกาแฟในเมืองไทย เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่ปีพ.ศ.2547 พร้อมกับการจัดตั้งสมาคมบาริสต้าไทยขึ้นเพื่อรณรงค์ยกระดับมาตรฐานบาริสต้าไทยให้เทียบเท่าสากล โดยมีการส่งแชมป์บาริสต้าประเทศไทยไปร่วมในการแข่งขันระดับโลกในรายการ World Barista Championship จนกระทั่งปัจจุบันมีรายการแข่งขันชงกาแฟภายในประเทศด้วยรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้บาริสต้าที่มีความตั้งใจจริงได้มีเวทีให้แสดงออกมากขึ้นและสามารถพัฒนาฝีมือได้ดีขึ้นตามลำดับ

ปุ้ม-สิริทัย รังจันทึก เก๋-ลักขณา ดาวพราย และ ป้อน-ปรียา กุลทอง 3 สาวนังชงมือรางวัลจากร้าน "บลูคัพ" แมสคัสโตไมเซชั่นของ "ร้านเอส แอนด์ พี" ถือเป็นคลื่นลูกใหม่อีกกลุ่มของวงการ การรันตีฝีมือจากรางวัลชนะเลิศประเภททีม TCTA Latte Art Competition Thailand 2008 - 2010 และรางวัลชนะเลิศ Thailand Latte Art Champion Ship 2010

พี่ใหญ่อย่าง ปุ้มที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 9 ปี เล่าถึงความสนใจแรกเริ่มก่อนจะเข้ามาสวมชุดผูกผ้ากันเปื้อน "ชั่ง ตวง วัด" อยู่หลังเคาน์เตอร์ว่า เกิดจากความชอบกาแฟเป็นทุนเดิม ก่อนจะมาเรียนรู้ในร้านว่าการชงกาแฟนั้นมีมากกว่าแค่เทน้ำร้อนผสมน้ำตาล และนมข้นหวาน ขณะที่เก๋ และป้อนเรียนรู้คัมภีร์กาแฟจากการช่วยงานในร้าน เปลี่ยนตำแหน่งมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาลงตัวอยู่ตรงหน้าเครื่องชงกาแฟ

ทั้ง 3 คนต่างมองนิยามของบาริสต้าเปรียบได้กับเครื่องประดับประจำร้านกาแฟ โดยบาริสต้าย่อมไม่ใช่แค่พนักงานชงกาแฟเท่านั้น บาริสต้ายังถือเป็นหน้าตาของร้านอีกด้วย เพราะนอกจากชงกาแฟแล้ว ก็ยังต้องสามารถสร้างสรรค์บรรยากาศที่ดีให้แก่ร้าน และให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างน่าพึงพอใจที่สุด

"ทุกอย่างในบาร์ของเรา คือที่สุด" ปุ้มย้ำถึงความสำคัญของการก้าวสู่อาชีพ



นอกจากฝีมือในการปรุงกาแฟให้ถูกคอคนดื่มแล้ว ลวดลายบนผิวกาแฟก็ถือเป็น "ศาสตร์" ที่เหล่านักชงจะต้องเรียนรู้ด้วยเช่นกัน ถือเป็นศิลปะที่สร้างความสุนทรีย์ในการดื่มซึ่งขาดไม่ได้ในกาแฟแต่ละถ้วยที่ถูกเสิร์ฟ เรียกกันว่า ‘ลาเต้ อาร์ต’ (Latte Art)

ลาเต้ อาร์ต หรือการสร้างสรรค์ศิลปะเป็นลวดลายจากโฟมนม ลงบนน้ำกาแฟที่เคลือบผิวหน้าด้วย‘เครม่า’หรือโฟมของกาแฟ แน่นอน ความวิจิตรบรรจงดังกล่าวขึ้นอยู่กับ "มือ" ของบาริสต้าแต่ละคนว่าจะ "นิ่ง" และเนียนได้ขนาดไหน

"ไม่ยากค่ะ จริงๆ อยู่ที่ความชอบ ความใส่ใจ และความสนุกสนาน" เก๋ออกตัว ก่อนที่ ปุ้มจะอธิบายเพิ่มเติ่มถึงสไตล์การแต่งลาเต้อาร์ตที่มีทั้งการส่ายข้อมือ ผลิกแก้ว และวาดลาย

"บาริสต้าแต่ละคนการทำลาเต้อาร์ตก็ไม่เหมือนกัน อยู่ที่มือแต่ละคน เบสิกทุกคนคือ ต้องทำชอตเอสเพรสโซ่ให้เพอร์เฟค ทำครีมนมให้เนียน เทฟองนมให้ได้ในปริมาณที่ต้องการ หลังจากนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับเทคนิคส่วนบุคคล บางคน อาจจะส่ายข้อมือ ก็จะได้เป็นใยแบบหนึ่ง ถ้าข้อมืออ่อนก็จะได้ใบอีกแบบหนึ่ง บางคนเทข้างๆ แก้วก็จะได้ใบอีกแบบหนึ่ง" ปุ้มบอก

ดอกทิวลิปกับฝูงผีเสื้อ กุหลาบหิน นกยูงรำแพน หรือใบไม้ ตลอดจนลวดลายอื่นๆ ก็ล้วนขึ้นอยู่กับจินตนาการ และจังหวะในการ "ลงลาย" ซึ่งพวกเธอยอมรับว่า กว่าจะผ่านขั้นตอนเหล่านี้ออกมาได้นั้น จะต้องใช้เวลาฝึกฝนทั้งหลังบาร์ และหน้าเคาน์เตอร์อยู่พอสมควร

"สมาธิสำคัญมากนะคะ" ป้อนออกความเห็น เพราะในการแข่งขันนี่คือกุญแจดอกสำคัญ

ที่สำคัญอาชีพนี้ถือเป็นการ "เปิดโอกาส" นำไปสู่เส้นทางใหม่ๆ ในชีวิตให้กับพวกเธออีกด้วย

"ให้โอกาสหลายๆ อย่าง ที่คนอื่นเขาไม่ได้นะ เราได้เดินทางไปต่างประเทศ ระดับโลก 2 ครั้ง เอเชียครั้งหนึ่ง เรื่องแบบนี้ชีวิตนี้คงไม่ได้หากันง่ายๆ" ปุ้มยกตัวอย่างประสบการณ์ที่ต่อยอดออกมาจากการแข่งขัน

ขณะที่ ป้อน และเก๋ ช่วยเสริมในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์

"ลายเบสิกแต่ละลายก็สามารถสร้างสรรค์ต่อให้กลายเป็นลายอื่นๆ ได้"

นอกจากนี้ รสชาติกาแฟแบบเดิมๆ ที่พวกเธอเคยรู้จักก็ถูกเปลี่ยนโฉมไปโดยสิ้นเชิง

"จากที่เราไม่ชิมกาแฟสดเลย รู้จักแต่กาแฟสำเร็จรูป ฮิตมาก 10 บาท (หัวเราะ) วันนี้เราเปลี่ยนไป รู้รสของกาแฟสดว่ามันนุ่มขึ้น ทำใหม่ขึ้น หอมขึ้น ชิมมันยังไงให้มีความหมาย และสร้างจินตนาการ" สาวปุ้มถ่ายทอดมุมมอง

"ทำให้รู้ว่าเอสเพรสโซ่แก้วหนึ่งให้อะไรกับเราบ้าง กลิ่นหอม บอดี้ที่ดี กรดความเปรี้ยว เป็นต้น" เก๋เสริม

แม้วันนี้ลวดลายบนผิวกาแฟจะสร้างประสบการณ์ และความสำเร็จมาสู่ชีวิตของพวกเธอ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งหมดก็ยังยอมรับว่า กาแฟถ้วยนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ

"แค่หารสหวานในความขม ก็คุยกันไม่หมดแล้วค่ะ" คำตอบนั้นเคลือบเสียงหัวเราะไว้ชัดเจน
...........................
ที่มา นสพ กรุงเทพธุรกิจ

พิซซ่าหน้าไทย อร่อยไม่ซ้ำใครดี

เรื่อง วุฒิชัย สาสุข / ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

    ใครว่าพิซซามีแต่หน้าแฮม หน้าชีส หน้าไส้กรอก หน้าซีฟู้ด ขอเถียงไม่จริ๊งไม่จริง...


พิซซาอะไรเอ่ย? หน้าแกงเขียวหวาน หน้าลาบ หน้าต้มยำกุ้ง หน้าต้มข่า หน้าพะแนง หน้าธัญพืช หน้าผลไม้รวม และอีกสารพัดหน้าที่ประดาจะมี

ตอนแรกได้ยินนึกว่าเขาอำเล่น ไปเจอจังๆ ด้วยตาถึงร้องอ๋อ “พิซซาหน้าไทย” นี่หว่า

ปกติคุ้นแต่พิซซาหน้าฝรั่ง ชิ้นเบ้อเร้อเบ้อร่า กัดทีต้องอ้าปากกว้างๆ เยิ้มด้วยชีสเหนียวหนืด ยืดแล้วยืดอีก คนชอบก็บอกเด็ดดวงยังงั้นยังงี้ คนไม่ชอบก็ได้แต่ร้อง ยี้ๆๆๆ อย่างไม่เกรงใจ (คนพาไปเลี้ยงเล้ย)

เราเองก็ใช่คนที่พิสมัยพิซซาซะเมื่อไหร่ กินได้แต่อย่าเยอะ เพราะไม่ไหวจะเลี่ยน ทว่าพอลิ้มรสพิซซาฝีมือคนไทย เอ๋ ชักลังเล

ดูๆ ไปหน้าที่ใส่แทบไม่ต่างอะไรกับเมนูที่หม่ำเป็นประจำ ยกออกจากเตาร้อนๆ กรุ่นกลิ่นเครื่องแกง ยั่วน้ำลายมากๆ

เจ้าของสูตร “ศิริวรรณ สัจจะเทวะ” ยืนยิ้มแกมแซวเราว่า “เห็นไหมพอชิมคุณก็จะเปลี่ยนใจทันที” พูดจบเธอหันไปอบพิซซาต่อเฉย

จะเปลี่ยนใจ หรือจะติดใจ อันนี้ก็ขึ้นกับรสนิยมส่วนบุคคลที่โดนใจเรา ได้คะแนนไอเดียสร้างสรรค์เต็มสิบ ก็เรื่องหน้าพิซซาสุดแปลกนั่นแหละ

“หลักๆ พี่เป็นคนคิด คิดจากความเป็นไปได้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง ความอร่อยต้องมาก่อน ความสะอาดก็สำคัญ ทำแบบขอไปทีไม่ได้ หัวใจของพิซซาหน้าไทยคือความแปลกแบบไทยๆ”

กว่า 30 หน้าที่วางขาย ภายใต้แบรนด์ “อินเตอร์ พิซซ่า” ในระยะเวลา 1 ปีกับ 3 เดือน ถือเป็นความสำเร็จที่ไวเกินคาด ขนาดเจ้าของสูตรยังงงกับปรากฏการณ์ แต่เมื่อย้อนสำรวจดูปัจจัยทั้งหมดล้วนเกิดจากดอกผลแห่งวิริยอุตสาหะ หาใช่อาศัยโชคช่วย


เหนืออื่นใด ต้องเป็นพิซซาที่อร่อยเลิศ รสชาติพิเศษ


“เชื่อไหมพี่ไม่เคยทำพิซซาเลย แล้วก็ไม่ใช่คนชอบกินพิซซาด้วย มีแค่ความรู้อาหาร เพราะเรียนคหกรรมมา จุดเริ่มมันมาจากที่พี่ไปทำงานต่างประเทศ เห็นฝรั่งกินพิซซาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ก็เกิดปิ๊งไอเดียว่าถ้าเอาอาหารไทยมาทำพิซซาละ หน้าตาจะเป็นยังไง รสชาติจะเป็นยังไง”

ใช่พิซซาเป็นวัฒนธรรมอาหารฝรั่ง ต้นตำรับอยู่อิตาลี ว่ากันว่า มีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จากนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาและได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก ฮิตกันระเบิดระเบ้อ ไม่มีที่ไหนไม่รู้จักเจ้าแผ่นแป้งกลมใส่ส่วนผสมแล้วอบไฟ แต่ละที่ก็มีพิซซาต่างกัน สหรัฐอเมริกา บราซิล อิสราเอล อินเดีย เกาหลี ญี่ปุ่น เรียกชื่อและสร้างรสชาติแบบฉบับตัวเอง พิซซาหน้าไทยน่าจะเป็นหนึ่งในนั้น โดยศิริวรรณตีโจทย์อันท้าทายนี้จนแตก ด้วยการแหกกฎเดิมๆ
ฟังดูเหมือนง่ายใช่ไหม “ยาก”ศิริวรรณยืนกรานเสียงเข้ม ลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่ๆ กว่าจะได้ฟีดแบ็กจากเพื่อนบ้านละแวกใกล้ๆ ว่าสอบผ่าน ลุ้นระทึกยิ่งกว่านั่งชมภาพยนตร์สยองขวัญเสียอีก
ด้วยข้อจำกัดและพันธสัญญาที่เรามีไว้กับเจ้าของ ณ ที่นี้ จะไม่มีการเปิดเผยสูตรเด็ดเคล็ดลับพิซซาหน้าไทยอย่างหมดเปลือก บอกได้แค่คร่าวๆ ถึงความอร่อยว่า มีมายองเนสเป็นองค์ประกอบ นอกจากวัตถุดิบที่สดใหม่
   


ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ผักชีใบเลื่อย ต้นหอม เครื่องแกง กุ้ง หมู ทูน่า กล้วยหอม สับปะรด แอปเปิล อ้อ !!! ยังมีมอสซาเรลลาชีส เหล่านี้คือส่วนผสมของพิซซาหลายๆ หน้า เมื่อรวมอยู่บนแผ่นแป้งหนานุ่ม 7 นิ้ว แล้วเมื่ออบไฟจะได้ความหอมอย่างยิ่ง ตัดแบ่งเป็นชิ้น กินร้อนๆ โอ้... เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

“ขนมไทยก็น่าสนใจ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง จะเป็นพิซซาหวานที่ยังไม่มีใครทำ หรืออย่างพิซซา 4 ภาค ที่ลองแล้วก็ได้เสียงตอบรับที่ดี เอาเมนู 4 ภาค น้ำพริกอ่อง แกงเหลือง ผัดผงกะหรี่ น้ำตก มาทำพิซซาในถาดเดียวกัน”

ไอเดียไม่เคยหมด สำหรับที่รู้จักพลิกแพลงจากอาหารในสำรับ วันหนึ่งก็ก้าวสู่เมนูอินเตอร์ เช่นพิซซาสารพัดหน้าไทยๆ มีเอกลักษณ์และอร่อยไม่ซ้ำใคร

Source : http://www.posttoday.com/

น้ำพริกขนมจีน เมนูเพื่อสุขภาพ ไขมัน-แคลอรี่ต่ำ




Cr: http://www.thairath.co.th/column/eco/capable/113455